วันที่ 8 ก.ค.59 – เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ นำโดย พ.ท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่รัฐสภา เพื่อขออนุญาตเข้าพบและชี้แจงข้อเท็จจริงและเสนอแนวทางที่ควรจะเป็นประโยชน์ของคนในชาติ จากกรณีที่ประชุมสนช. ได้รับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่างพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ทั้งๆที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เรียกร้องให้ยับยั้งร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเห็นได้ชัดว่า เป็นการทำให้รัฐได้ประโยชน์ลดลงจากการบัญญัติเรื่องการแบ่งปันผลผลิตและจ้างผลิต เพราะระบบแบ่งปันผลผลิตทั่วโลกรัฐต้องได้แบ่งปันมากกว่าเอกชน แต่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ กลับให้เอกชนได้ส่วนแบ่งมากกว่า โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หากหักค่าใช้จ่ายในปีนี้ไม่หมดสามารถนำไปหักในปีต่อไปได้ อีกทั้งสัญญาจ้างผลผลิตทั่วโลกมี อายุประมาณ 7-8 ปี แต่ของไทยให้สัญญาถึง 30 ปี

พ.ท.พญ.กมลพรรณ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังให้คณะกรรมการปิโตรเลียมมีอำนาจในการให้สัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิต หรือจ้างผลิตในแปลงไหนก็ได้ รวมถึงมีการใช้ระบบอนุญาโตตุลาการมาแก้ปัญหาข้อพิพาทอีกด้วย ทำให้ภาพรวมรายได้ทั้งหมดของประเทศลดลง และการรั่วไหลของปริมาณปิโตรเลียมทุกนาทีทุกเวลาเพราะไม่มีระบบตรวจวัดแบบเวลาจริง (real time) เหมือนของปิโตรนาสหรือในประเทศกลุ่มโอเปก และรวมถึงการสูญเสียความมั่นคงของรัฐในการให้พื้นที่ปิโตรเลียมโดยไม่จำกัดแหล่งสัมปทาน ซึ่งการกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำผิดสัญญาว่าด้วยสิทธิในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ของสหประชาชาติ ในเรื่องอำนาจอธิปไตยของรัฐเหนือทรัพยากรธรรมชาติต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของประชาชนที่ได้รับประโยชน์และสร้างความมั่งคั่ง แต่กฎหมายนี้กลับทำให้ประชาชนไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างเหมาะสม อีกทั้งทำให้ประเทศต้องแบกรับรายจ่ายมากกว่าต่างประเทศที่ซื้อพลังงานจากไทย เนื่องจากเป็นระบบผูกขาดทางอ้อม ซึ่งการกระทำของ สนช. 152 คน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่รักษาผลประโยชน์ชาติ ทำให้ชาติสูญเสีย ขัดต่อประมวลกฎหมาย อาญา 119 ,128 ,129 ,152 และ 157.