ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/news/edu-health/228146
การศึกษา-สาธารณสุข : 22 พ.ค. 2559
เฟ้น50คู่ขออุ้มบุญ
สบส.เผยหลังบังคับใช้กฎหมายอุ้มบุญเกือบ 10 เดือน ยื่นเรื่องขอมาแล้ว 50 คู่ ทำไปแล้ว 8 คู่ จ่อคิวอีก 12 คู่
ภายหลังจากประเทศไทยมีการบังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558 หรือกฎหมายอุ้มบุญ ว่าจากการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2558 รวมเกือบ 10 เดือน ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยว่า มีผู้ยื่นความจำนงในเรื่องดังกล่าวมาเป็นจำนวนมาก
“มีผู้ให้ความสนใจสอบถามมายังสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ เพื่อปรึกษาข้อกฎหมาย การดำเนินการด้านเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ รวมทั้งการขอรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ของสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนเฉลี่ยเดือนละ 250 ครั้ง โดยมีคู่สมรสที่มีบุตรยาก ยื่นเอกสารประสงค์จะให้ตั้งครรภ์แทนแล้ว 50 คู่ คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทน ได้พิจารณาอนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนแล้ว 8 คู่ และในเดือนพฤษภาคม 2559 คณะอนุกรรมการจะประชุมพิจารณาอีก 12 คู่” น.ต.นพ.บุญเรือง ระบุ
อธิบดีสบส. กล่าวอีกว่า วัตถุประสงค์ของการมีกฎหมายฉบับนี้ เพื่อช่วยให้คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีบุตรยาก ซึ่งในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 15 ได้มีบุตรตามต้องการ โดยอาศัยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มาช่วย โดยให้หญิงอื่นที่เป็นญาติสายตรงของฝ่ายสามีหรือภรรยาช่วยตั้งครรภ์ให้แทน ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแพทย์ที่มีความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้อัตราการตั้งครรภ์สำเร็จจากการผสมเทียมสูงถึงร้อยละ 40 ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ นับว่าเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่มีการควบคุมกำกับการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์อย่างชัดเจน
“ขอเน้นย้ำให้สถานพยาบาลที่ให้บริการด้วยวิธีนี้ และคู่สมรสที่มีบุตรยาก ศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้อย่างถี่ถ้วน ห้ามดำเนินการทำอุ้มบุญหรือใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์โดยมิได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด และไม่มีการซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้น หากฝ่าฝืนมีโทษตั้งแต่จำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 2 หมื่น–2 แสนบาท” น.ต.นพ.บุญเรืองกล่าว
ด้านนพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผู้ช่วยอธิบดีกรมสบส. กล่าวว่า ขอให้ทุกฝ่ายยึดหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุ้มบุญ ด้วยหลักการง่ายๆ คือ “7 ห้าม 2 มี 3 ขอ” ก่อนดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยี มีดังนี้ 7 ห้าม ได้แก่ ห้ามเลือกเพศ ห้ามขายไข่/อสุจิ ห้ามรับจ้างตั้งท้อง ห้ามโฆษณา ห้ามโคลนนิ่ง ห้ามมีคนกลางหรือเอเยนซี ห้ามคู่สมรสต่างชาติทั้งคู่แต่หากคู่สมรสชาวต่างชาติต้องการคำปรึกษา หรือรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่นการทำกิ๊ฟท์ (GIFT) ทำซิฟท์ (ZIFT) ผสมเทียม (IUI) ก็สามารถทำได้ โดยกรมสบส.จะประสานขอความร่วมมือสถานทูตไทย ช่วยประชาสัมพันธ์ต่อไป ทั้งนี้ที่ผ่านมาชาวต่างชาติ อาทิ อิสราเอล ออสเตรเลีย บราซิล และอเมริกา ให้การยอมรับฝีมือ และเดินทางเข้ามารับบริการกับแพทย์และสถานพยาบาลของไทย
สำหรับคำว่า “2 มี” ได้แก่ มีแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภาว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน ซึ่งในประเทศไทยมีประมาณ 200 กว่าคน และมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ส่วน 3 ขอ ได้แก่ 1.ต้องขออนุญาตเปิดเป็นสถานพยาบาลที่ให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ 2.ขออนุญาตให้มีการตั้งครรภ์แทนเป็นรายคู่ อนุญาตเฉพาะคู่สมรสไทยที่สมรสถูกต้องตามกฎหมาย หรือคนไทยที่สมรสกับต่างชาติและจดทะเบียนสมรสมาแล้วอย่างน้อย 3 ปีเท่านั้น และ3.ขออนุญาตให้มีการวิจัยตัวอ่อนจากเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวด้วยว่า หากทุกฝ่ายร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เชื่อว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐาน ความก้าวหน้าเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ของไทย และสร้างชื่อเสียงในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (เมดิคอล ฮับ) อันดับ 1 อย่างแน่นอน หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำปรึกษาสามารถติดต่อได้ที่กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ชั้น 4 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0-2193-7000 ต่อ 18419 หรือ 18418 และเฟซบุ๊กกลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์
