ช้อนหางกระรอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05120010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

ของใช้ชาวบ้าน

สัจภูมิ ละออ

ช้อนหางกระรอก

ภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นสมบัติของแผ่นดิน

เครื่องมือของใช้ชาวบ้าน ถ้าจะถามว่า ใครคิดค้นได้ก่อนคงตอบยาก เพราะบางคนคิดได้ บางคนนำมาพัฒนาต่อยอด บางคนนำมาเผยแพร่ กระบวนการเหล่านี้ ทำให้ยากสรุปว่า ผู้ใดเป็นคนคิดค้นได้ก่อน ยิ่งสมัยเก่าก่อนไม่ได้มีกฎหมายลิขสิทธิ์ ใครคิดได้ก่อนก็มักสอนกับลูกๆ หลานๆ ต่อๆ กันมา ทำให้ภูมิปัญญาบางอย่าง ยากที่จะจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง

ในปัจจุบัน มีการจดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นกันมาก ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า คนที่จดลิขสิทธิ์ภูมิปัญญาชาวบ้านเหล่านั้น มีชาวบ้านที่เป็นคนต้นคิดจริงๆ สักกี่เปอร์เซ็นต์ และมีคำถามตามมาด้วยว่า คนที่จดลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่ บางคนเพียงไปพบภูมิปัญญาของชาวบ้าน แล้วนำไปจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเองด้วยหรือไม่

ผู้จดลิขสิทธิ์ทางปัญญา คงมีหลายประเภท หลายกรณี

การทำเครื่องมือของใช้ชาวบ้าน หากเป็นของแท้ดั่งเดิม วัสดุที่ใช้มักนำมาจากท้องถิ่นของผู้คิดค้นเอง อย่างชาวบ้านอยู่ใกล้ป่าดง เครื่องมือของใช้ก็มักนำมาจากป่าดง อยู่ใกล้ทะเล ข้าวของเครื่องใช้ส่วนหนึ่งก็มักนำวัสดุมาจากทะเล ถ้าอยู่ในทุ่งนาก็มักนำเอาวัสดุมาจากทุ่งนา

เครื่องมือแต่ละอย่าง เราชาวบ้านทำเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ช้อนหางกระรอก ที่ทำมาจากลำไผ่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าไผ่ หรือหาไผ่ได้ง่าย ย่อมเป็นผู้คิดทำขึ้นมาใช้สอย

อย่างไรก็ตาม ป่าไผ่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย เอื้อให้ชาวบ้านนำมาทำเครื่องมือของใช้ได้หลากหลายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือของใช้ในบ้าน นอกบ้าน และยังนำมาทำอาคารบ้านเรือนได้อีกด้วย อย่างบ้านเมืองยุคเก่าก่อน บางเมืองแทบไม่เหลือซากให้เห็น เพราะบ้านเรือนทำด้วยไผ่และไม้ ถึงเวลาก็ผุพังไปตามกาล

ช้อนหางกระรอก เราชาวบ้านนำเอาไผ่ลำเล็กๆ ตัดให้แขนงติดมาด้วย ไผ่ที่ตัดมาจะเป็นไผ่แก่หรืออ่อนก็ได้ เพราะช้อนหางกระรอกไม่ได้ใช้งานหนักอะไร จุดประสงค์มีอย่างเดียวคือ ต้องการใช้ตักอาหารที่เป็นน้ำ

วิธีทำ ตัดลำไผ่ขนาดข้อมือเด็ก นำมาตัดแต่งบริเวณเหนือข้อขึ้นไปให้เป็นรูปปากเป็ด ใต้ข้อตัดออกและให้เหลือแขนงไว้ แขนงนั้นเราใช้ทำด้าม ต้องการด้ามยาว-สั้นอย่างไร ก็ตัดแขนงให้เหลือเพียงนั้น แล้วขัดเกลาเสี้ยนให้เรียบร้อย ปาดขอบด้านในที่เป็นรูปปากเป็ด ลบเหลี่ยมให้หมด เราก็จะได้ ช้อนหางกระรอก 1 อัน

ช้อนหางกระรอก เหมาะสำหรับตักน้ำแกง น้ำต้ม และอาหารที่เป็นน้ำๆ ทั้งหลาย แต่ไม่เหมาะกับการตักข้าวกิน เพราะรูปทรงไม่เอื้อ

เข้าใจว่า ช้อนหางกระรอก ชาวบ้านคงใช้กันมานาน คนไทยสมัยก่อนกินข้าวใช้มือเปิบ คงใช้ช้อนหางกระรอกตักน้ำต้ม น้ำแกง และอาหารที่เป็นน้ำใส่จานหรือภาชนะใส่ข้าวกิน

สมัยผู้เขียนยังเด็กๆ ผืนป่ารอยต่อระหว่างอำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี กับ อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ยังเหลืออีกมาก ประมาณ พ.ศ. 2510 นั้น เราชาวบ้านมีช้อนสังกะสีตักข้าว แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังใช้มือเปิบข้าวอยู่ เราชาวบ้านมักใช้ช้อนตักแต่น้ำแกงเท่านั้น

คราวหนึ่ง ผู้เขียนตามพ่อและแม่เข้าไปหาหน่อไม้ในป่า เมื่อถึงเวลากินข้าวปรากฏว่าเราลืมช้อน ถ้าไม่มีแกงไก่เผ็ดๆ มา เราก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อมีแกงเราก็ดูเหมือนจะเกิดปัญหา แต่ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะผู้ชำนาญในการเข้าป่ามาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว

พ่อตัดลำไผ่เล็กๆ มา ใช้มีดเหน็บปาดปล้องบนเป็นรูปปากเป็ด ใต้ข้อใช้มีดเหน็บ ค่อยๆ ปาดออกไป ให้เหลือแต่ข้อ แน่นอนมีแขนงเล็กๆ ติดมาด้วย พ่อตัดให้เหลือ ประมาณ 1 คืบ หลังจากนั้น เราก็กินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยกลางป่าไผ่

เสียดายที่ภาพป่าเหล่านั้น ประมาณ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา มีอันต้องหายไปอย่างว่องไว เพราะมีนายทุนเข้ามาพร้อมกับรถแทร็กเตอร์ จัดการปรับผืนป่าเพื่อปลูกอ้อยส่งเข้าโรงงานผลิตน้ำตาล

ปัจจุบัน ช้อนหางกระรอก แทบไม่มีคนใช้แล้ว เนื่องจากในตลาดมีช้อนหลากรูปทรงวางขาย ผู้ใช้สามารถเลือกซื้อหาได้ตามความพอใจ ทำให้ช้อนหางกระรอกแทบจะเหลือไว้เพียงแต่คำเล่าขาน และในพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบางแห่งเท่านั้น

ความเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ทำให้คนห่วงหาอาวรณ์ อย่างภูมิปัญญาของแผ่นดินบางอย่างที่สูญหายไป เป็นต้น

Leave a comment