ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05060010259&srcday=2016-02-01&search=no
| วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616 |
เก็บมาเล่า
สุขสันต์ สุทธิผลไพบูลย์
ตัวอย่างสินค้าเกษตร ที่ขาดดุลการค้า
ในอดีตกาล คนไทยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เมื่อผลิตข้าว ยางพารา ไม้สัก ดีบุก และอื่นๆ เหลือจากการบริโภคและใช้ในประเทศ ก็ส่งออกเป็นรายได้นำมาพัฒนาประเทศ
เช่นเดียวกัน หลายทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ นักลงทุนไทยและต่างชาติใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งโรงงานผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปเพื่อใช้และบริโภค เมื่อเหลือก็ส่งออก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีรายได้จากการส่งออก ดังนั้น จึงมองแต่เฉพาะการส่งออกด้านเดียว นักบริหารระดับสูงต่างพูดกันแต่รายได้ส่งออกเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ในช่วงเศรษฐกิจดี หรือลดลงเท่านั้นเปอร์เซ็นต์ช่วงชะลอตัว หาคิดเฉลียวใจว่า ยังมีการซื้อสินค้าที่ผลิตไม่ได้หรือไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าเป็นรายจ่ายอีกด้านหนึ่ง เหมือนกระเป๋าอีกข้างหนึ่งมีรูรั่ว เงินไหลออก การทำบัญชีก็เช่นกัน เมื่อมีรายรับก็ต้องมีรายจ่าย หรือเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ตามธรรมดาการค้าของชาติต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีทั้งการขายและการซื้อสินค้าผสมผสานกันไป ถ้ามูลค่าส่งออกมากกว่ามูลค่านำเข้า เรียกว่าได้เปรียบการค้าหรือเกินดุล ในทางตรงกันข้าม มูลค่าส่งออกน้อยกว่ามูลค่านำเข้า ซึ่งเป็นการเสียเปรียบการค้าหรือขาดดุล กรณีติดลบนี้อาจชดเชยได้จากการท่องเที่ยว หรือเข้าขั้นต้องนำเงินตราต่างประเทศที่สำรองไว้มาใช้ ซึ่งเป็นสภาวการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ของนักบริหารและวิชาการ
จากหนังสือสถิติการค้าสินค้าเกษตรไทยกับต่างประเทศ ปี 2557 ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่ง คุณจิตราภรณ์ ทองประดิษฐ์ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ที่ดำเนินการหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งให้ข้อมูลปริมาณและมูลค่านำเข้าส่งออก สินค้านอกการเกษตร และสินค้าเกษตร โดยภาพรวมประเทศไทยต้องเสียเปรียบดุลการค้า ตั้งแต่ปี 2554 สำหรับปี 2557 สินค้านำเข้ามูลค่า 7,425,834 ล้านล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกมีเพียง 7,314,700 ล้านล้านบาท จึงขาดดุล 111,134 ล้านบาท แต่มูลค่าสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ส่งออก 1,309,291 ล้านล้านบาท ขณะที่มูลค่านำเข้ามีเพียง 447,167 ล้านบาท ซึ่งเกินดุล 862,124 ล้านบาท ถ้าวิเคราะห์เจาะลึกถึงสินค้าบางชนิดจะเห็นว่า ทั้งปริมาณและมูลค่าการนำเข้ามากกว่าการส่งออก ในที่นี้ขอยกตัวอย่างสินค้าดังกล่าว ปี 2557 จากศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ด้วยความร่วมมือจากกรมศุลกากร และที่ผลิตได้ ปี 2556/57 และ 2557/58 จาก คุณมณฑาทิพย์ ชีไธสง นักสถิติ ฝ่ายวิเคราะห์และวางระบบข้อมูล ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร แสดงว่าการผลิตไม่เพียงพอ ดังต่อไปนี้
ถั่วเขียวผิวดำ หรือเกษตรกรและพ่อค้าเรียกกันว่า ถั่วแขก เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง บางพันธุ์เลื้อยคลุมดิน บางพันธุ์ต้นตั้งตรงเหมือนถั่วเขียว ฝักป้อม สั้น ยาว 5 เซนติเมตร เป็นรูปทรงกระบอกตรงๆ ไม่โค้งเหมือนฝักถั่วเขียว เมล็ดเหมือนเมล็ดถั่วเขียว แต่สีดำด้าน ตาเมล็ดใหญ่สีขาว อุดมด้วยกรดฟอลิก ด้วงถั่วเขียวไม่กัดกินทำลายเหมือนถั่วเขียว ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้เพาะถั่วงอกบริโภคแทนผัก ซึ่งนำมาส่งเสริมให้ปลูกเมื่อ 45 ปี ที่ผ่านมา แหล่งปลูกอยู่ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร ลำปาง ลพบุรี นครสวรรค์ อุตรดิตถ์ นอกนั้นปลูกกันประปรายทั่วไป โดยใช้ปลูกหลังเก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตอนปลายฤดูฝน ปัจจุบัน พ่อค้าเพาะถั่วงอกใช้ถั่วนี้กันแพร่หลาย เพราะราคาถูกกว่าถั่วเขียวผิวมัน ผลิตผลที่ได้ในปี 2557 ปริมาณ 15,146 ตัน ส่งออก 6,027 ตัน แต่นำเข้า 8,382 ตัน มูลค่า 226 ล้านบาท จากประเทศเมียนมา แสดงว่าผลิตไม่พอกับความต้องการ ทางราชการน่าจะแนะนำส่งเสริมขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งดังกล่าว
ถั่วเขียวผิวมัน เป็นพืชตระกูลถั่ว ช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้ดีขึ้น อายุสั้นประมาณ 75 วัน เกษตรกรปลูก 3 รูปแบบด้วยกัน คือ อาศัยน้ำฝนก่อนทำนาปี ปลายฤดูฝนในที่ไร่ และหลังนาปี โดยให้น้ำ 1 ครั้ง ก่อนไถหว่านคราดกลบ ถ้าหว่านในชุดดินที่อุ้มน้ำความชื้นได้ดีก็ได้ แต่ให้ผลผลิตน้อย พอมีรายได้ตอบแทนบ้าง แหล่งปลูกที่สำคัญลดหลั่นลงมา ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ตาก นครสวรรค์ พะเยา สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร สระบุรี แพร่ อุตรดิตถ์ ลพบุรี อุทัยธานี ชัยภูมิ ขอนแก่น ผลิตผลที่ได้ทั้งประเทศ ปี 2557 ปริมาณ 73,576 ตัน ใช้บริโภคและแปรรูปเป็นวุ้นเส้น แป้งถั่วเขียว ส่งออก 8,697 ตัน แต่นำเข้า 22,359 ตัน มูลค่า 700 ล้านบาท จากประเทศเมียนมา ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย ซึ่งผลิตไม่พอกับความต้องการ น่าจะหาทางส่งเสริมให้ปลูกกันมากขึ้น โดยไม่ต้องนำเข้าเสียเงินตราต่างประเทศ
ถั่วลิสง เป็นพืชปรับปรุงบำรุงดินเหมือนถั่วอื่นๆ เกษตรกรส่วนมากปลูกเพื่อขายฝักสดรายได้ดี ประชาชนนิยมบริโภคเป็นของว่างกินเล่น ส่วนที่ปลูกขายเมล็ดแห้งมีน้อย ประกอบกับต้องลงทุนมาก ดูแลรักษามากกว่าถั่วเขียว ปลูกกันประปรายทุกภาค การปลูกมี 2 ลักษณะ คือ ปลูกช่วงฤดูแล้งเดือนพฤศจิกายน-เมษายน และฤดูฝนช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ทั้งในนาและที่ไร่ ปลูกกันมาก ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ พะเยา ขอนแก่น อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน น่าน ลพบุรี ปริมาณการผลิตทั้งประเทศ 20,396 ตัน ส่งออก 290 ตัน แต่นำเข้า 60,270 ตัน มูลค่า 1,502 ล้านบาท จากประเทศจีน เมียนมา อินเดีย สปป. ลาว เวียดนาม การแนะนำส่งเสริมให้เป็นถั่วฝักแห้งคงยาก เพราะเกษตรกรไม่ยอมรับ ปลูกพืชอื่นง่าย มีรายได้ดีกว่า
ถั่วเหลือง นอกจากเป็นพืชปรับปรุงบำรุงดินเหมือนถั่วอื่นๆ แล้ว ยังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีน้ำมันในเมล็ดมาก จึงบีบอัดได้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งประชาชนนิยมใช้ปรุงอาหาร นอกจากนี้ ยังนิยมกินเล่นในรูปถั่วแระเหมือนถั่วลิสง ส่วนกากใช้เป็นส่วนผสมแทนปลาป่นในอาหารสัตว์บก สัตว์น้ำ เกษตรกรปลูก 4 ลักษณะ คือ ปลูกอาศัยน้ำฝนก่อนทำนาปี ในที่ไร่ปลายฤดูฝน และฤดูแล้งหลังนาปี ทั้งใช้น้ำกับไม่ใช้น้ำ จังหวัดที่ปลูกกันมาก ได้แก่ ลำปาง เชียงใหม่ พะเยา อุตรดิตถ์ น่าน แม่ฮ่องสอน แพร่ ตาก ลพบุรี ขอนแก่น นอกนั้นปลูกกันทั่วไป ผลิตผลที่ได้ทั้งประเทศ ปี 2557 รวม 59,204 ตัน ส่งออก 11,596 ตัน แต่นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) จากสหรัฐอเมริกา บราซิล อาร์เจนตินา 1,898,295 ตัน มูลค่า 34,996 ล้านบาท และกากถั่วเหลืองจาก 3 ประเทศข้างต้นอีก 2,889,223 ตัน มูลค่า 54,403 ล้านบาท รวมมูลค่า 89,399 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินมหาศาล ที่เคยเสนอแนวทางลดการนำเข้าได้ แต่นักบริหารทุกระดับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่สนใจ จึงต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกปีตลอดไป
งา เป็นพืชน้ำมันที่มีสารอาหารมากคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมงกานีส แมกนีเซียม กับสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดหญ้าได้อีกด้วย แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามสีเปลือกเมล็ด คือ งาดำ งาขาว งาแดง เกษตรกรนิยมปลูกงาแดง เพราะทนทานต่อสิ่งแวดล้อมดีกว่างาชนิดอื่น เกษตรกรปลูกงาดำมากที่จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี แม่ฮ่องสอน และอื่นๆ ได้ผลิตผล 1,796 ตั้น งาขาวปลูกที่นครสวรรค์ ลพบุรี แม่ฮ่องสอน ตาก พะเยา นอกนั้นปลูกทั่วไป ได้ผลผลิต 350 ตัน ส่วนมากนิยมใช้งาดำ งาขาว ทำขนม และงาแดงปลูกที่นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ลพบุรี เชียงใหม่ สุโขทัย ใช้บีบน้ำมันมีผลิตผล 4,834 ตัน รวม 3 ชนิด ปี 2557 ปริมาณ 6,980 ตัน ส่งออก 5,749 ตัน แต่นำเข้า 14,073 ตัน มูลค่า 388 ล้านบาท การแก้ไขปัญหานี้คือ การขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งเดิม และพื้นที่ใหม่ใกล้เคียงเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจมีตลาดแน่นอน
จากเอกสารการปลูกมันฝรั่งของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้รับข้อมูลกล่าวคือ เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกันกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ ยาสูบ ฯลฯ ชอบอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิ 15-18 องศาเซลเซียส ช่วงเวลากลางวันสั้น กลางคืนยาว ทำให้เจริญเติบโตมีผลผลิตสูง ฤดูปลูกในที่ราบช่วงเดือนพฤศจิกายน-กลางธันวาคม เก็บเกี่ยวเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ส่วนที่ปลูกในฤดูฝนเขตที่สูง ตั้งแต่ 800 เมตร ขึ้นไป ไม่ควรแนะนำ เพราะเป็นการทำลายป่าอนุรักษ์ต้นน้ำลำธาร พันธุ์มันฝรั่ง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ พันธุ์บริโภคสด อายุ 100-120 วัน และพันธุ์ส่งโรงงาน แปรรูปเป็นมันทอดแผ่นบางๆ อายุเท่ากับพันธุ์บริโภคสด ฝ่ายวิเคราะห์และวางระบบข้อมูล ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ข้อมูลพื้นที่ปลูกรวมกันไป ไม่ได้ระบุเป็นพันธุ์ชนิดไหน ปี 2557 พื้นที่ปลูกมันฝรั่งทางภาคเหนือ จังหวัดที่ปลูกมากลดหลั่นจากจังหวัดตาก 17,270 ไร่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน เพชรบูรณ์ ลำปาง จนถึงแม่ฮ่องสอน 285 ไร่ รวม 42,368 ไร่ ได้ผลิตผลประมาณ 95,840 ตัน ภาคอีสาน ได้แก่ จังหวัดสกลนคร 1,136 ไร่ นครพนม 680 ไร่ ได้ผลิตผลรวม 3,429 ตัน รวมทั้งหมด 99,269 ตัน ส่งออก 172 ตัน แต่นำเข้า 53,350 ตัน มูลค่าประมาณ 787 ล้านบาท การเพิ่มปริมาณการผลิต กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และกรมส่งเสริมสหกรณ์ มีเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด อำเภอ ที่กำกับดูแลชุมนุมสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์เฉพาะทางในพื้นที่อยู่แล้ว น่าจะสำรวจตรวจดูไม่กี่จังหวัดว่า มีมันฝรั่งชนิดไหนปลูกมากน้อยเท่าไร โดยเพิ่มพื้นที่ปลูกชนิดที่ยังขาดอยู่ ส่วนที่ปลูกเกินจะต้องให้ปรับเปลี่ยนมาปลูกที่ยังขาดอยู่แทน มิฉะนั้นราคาตกต่ำขาดทุน
ข้าวโพดคั่ว เท่าที่ทราบยังไม่มีคุณภาพดีเหมือนต่างประเทศ แต่มีบางพันธุ์อยู่ในธนาคารเชื้อพันธุ์ ซึ่งเป็นงานยาก ใช้เวลานาน ท้าทายอาจารย์นักวิจัย เกษตรกรจึงไม่ได้ปลูกกัน และกรมส่งเสริมการเกษตรไม่มีข้อมูลนี้ มีแต่เฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดฝักสด ข้าวโพดฝักอ่อน ปี 2557 มีปริมาณนำเข้า 7,762 ตัน มูลค่า 182 ล้านบาท แต่มีข้อมูลส่งออก 112 ตัน มูลค่า 5.6 ล้านบาท คงใช้ปริมาณนำเข้าส่งกลับไปประเทศเพื่อนบ้าน ฟิลิปปินส์ สปป.ลาว เมียนมา สิงคโปร์ ก็ได้ อนึ่ง วิธีการที่ง่ายในอดีตคือ มีหลายพืชที่นำพันธุ์เข้ามาปลูก จนได้สายพันธุ์ที่ปรับตัวดีกับสภาพดินฟ้าอากาศของเรา เช่น ถั่วลิสงพันธุ์ไทนาน 9 จากไต้หวัน มาใช้เป็นพันธุ์พ่อแม่ผสมกับพันธุ์อื่น ที่มีคุณสมบัติดีบางประการ จนได้สายพันธุ์ใหม่ตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่นที่ผลิตไม่พอกับความต้องการ อาทิ ฝ้ายปลูกไม่ได้ผล เพราะสภาพภูมิอากาศเหมาะกับการเจริญเติบโตขยายพันธุ์ของแมลงศัตรูฝ้ายในฤดูฝน อาทิ หนอนเจาะสมอฝ้าย เพลี้ย จักจั่น เพลี้ยไฟ อื่นๆ จึงต้องนำเข้าในปี 2557 ปริมาณ 322,280 ตัน มูลค่าประมาณ 21,987 ล้านบาท แต่ทว่ามีโรงงานปั่นเส้นด้าย ย้อมสี ทอผ้า และสิ่งทอผลิตเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้ว สินค้านมและผลิตภัณฑ์นับหมื่นล้านบาท พันธุ์ไก่เลี้ยง และอื่นๆ อนึ่ง การที่จะทราบสินค้าเกษตรวัตถุดิบตัวใด ผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ก็ให้เอาปริมาณการผลิตในประเทศ รวมกับปริมาณนำเข้า แล้วหักด้วยปริมาณส่งออก ผลลัพธ์คือปริมาณการผลิตที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ
เท่าที่ทราบมานานกว่า 10 ปีแล้วว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีคณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีส่วนราชการในสังกัด กระทรวงพาณิชย์ และส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องรวมอยู่ด้วย ในรูปแบบบูรณาการ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การบริหารงานใหม่ ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นลักษณะปิด มีเฉพาะกรมสำนักงานในสังกัด โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ ส่วนราชการที่ไม่อยู่ภายใต้กลุ่มภารกิจ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการผลิต กลุ่มภารกิจบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการผลิต และกลุ่มภารกิจด้านส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรและระบบสหกรณ์ ในที่นี้มีข้อคิดเห็นในกลุ่มที่ 4 คือ น่าจะได้พิจารณาประกาศว่า พ่อค้านักธุรกิจทุกรายที่มาซื้อสินค้าเกษตรจากเกษตรกร จะต้องจดทะเบียนกับสำนักงานสหกรณ์จังหวัดในพื้นที่ กับทำพันธสัญญากับกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์ ในแต่ละพื้นที่ ตำบล อำเภอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ในขณะเดียวกันสำนักงานสหกรณ์จังหวัด จะต้องให้เกษตรกรทุกรายเป็นสมาชิกกลุ่มเกษตรกรสหกรณ์ด้วย โดยให้มีระเบียบวินัย รู้รักสามัคคีจากใจจริง รวมตัวกันผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ในระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่มั่นคงเป็นปึกแผ่น ไม่ใช่ต่างคนต่างกลุ่มปลูกกันไปไร้ทิศทางเหมือนปัจจุบัน