ผลไข่เน่า-นามขานไม่ไพเราะ แต่สรรพคุณนั้นเป็นเลิศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05059010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เทคโนโลยีเกษตร

ชำนาญ ทองเกียรติกุล

ผลไข่เน่า-นามขานไม่ไพเราะ แต่สรรพคุณนั้นเป็นเลิศ

ไข่เน่า หรือ คมขวาน หรือ ขี้เห็น ล้วนแต่เป็นชื่อเรียกขานในแต่ละภาคของประเทศไทย

ถือเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่เก่าแก่หรือไม้โบราณ เด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ขนาดวัยใกล้เกษียณอาจจะเคยได้ยินกันบ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่ามีสรรพคุณประโยชน์อย่างไร แค่ได้ยินชื่อว่า ไข่เน่า กลิ่นก็มาแล้ว

แต่มีบุคคลหนึ่งทำงานกับชุมชนในพื้นที่ป่าต่างๆ ของเมืองไทย อย่างเช่น คุณยุทธนา เพชรนิล ผู้จัดการส่วนพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพื้นป่าตะวันตกจังหวัดกาญจนบุรี เห็นคุณค่าของ ไข่เน่า ที่ขึ้นตามหัวไร่ปลายนาอยู่มาก ขณะนั้นชาวบ้านในพื้นที่มักจะโค่นล้ม จึงคิดว่าจะมีวิธีทำอย่างไร ที่ชุมชนไม่ต้องโค่นต้นไข่เน่าทิ้ง เพราะเป็นไม้ยืนต้น อีกทั้งสารพัดประโยชน์

คุณยุทธนา เล่าอีกว่า จากที่คลุกคลีเกี่ยวกับสมุนไพรอินทรีย์ในผืนป่าตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางจังหวัดตาก เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ อุทยานแห่งชาติลำคลองงู และอุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้งที่ตำบลแก่นมะกรูด ขอบป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี ซึมซับภูมิปัญญาเก่าๆ ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น แต่การที่จะทำให้ชุมชนไม่โค่นต้นไข่เน่าก็ยากพอๆ กับการณรงค์ให้เลิกใช้สารเคมี หันมาให้ใช้เกษตรอินทรีย์ สิ่งแรกคือ ต้องให้ชุมชนเห็นสิ่งที่มีประโยชน์ก่อน

“ก่อนอื่นนั้น ผมก็คิดถึงภูมิปัญญาชาวบ้านถึงสรรพคุณของไข่เน่า ในเรื่องของการบำรุงสมอง บำรุงกระดูก เปลือกใช้รักษาตานขโมย ท้องร่วง เจริญอาหาร ผลสุกใช้รับประทานกับเกลือ รักษาโรคเบาหวาน นั้นคือสิ่งที่ได้บอกกล่าวกับชุมชน แต่กว่าชาวบ้านจะยอมรับเห็นดีด้วย ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน อย่างแรกที่ทำคือ ให้เห็นว่าเราสามารถนำผลของต้นไข่เน่าไปแปรรูปและขายได้ ให้เห็นว่าชาวบ้านจะมีรายได้จากการเก็บไข่เน่ามาขาย หรือนำมาแปรรูป”

“ผมเริ่มทำโครงการไข่เน่าแปรรูปมา ประมาณ ปี 2555 เริ่มจากการซื้อผลไข่เน่าจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ชาวบ้านไม่ต้องลงทุนอะไร? เพียงแต่ให้ขยันเก็บเท่านั้น แต่ต้นไข่เน่าจะออกผลผลิตได้ประมาณเดือนสิงหาฯ กันยาฯ เท่านั้น ต้องเก็บสต๊อกเอาไว้เพื่อแปรรูป ครั้งหนึ่งๆ ก็ประมาณ 1,000 กิโลกรัม” คุณยุทธนา กล่าว

แต่สิ่งหนึ่งที่คุณยุทธนาภูมิใจอย่างมาก เพราะตอนนี้ต้นไข่เน่าตามหัวไร่ปลายนายังคงอยู่เหมือนเดิม และตอนนี้เริ่มมีการปลูกเพิ่มกันมากขึ้น จากที่เคยโค่นล้มเห็นว่าเป็นไม้ไร้ประโยชน์ ต้นไข่เน่าต้นหนึ่งกว่าจะให้ลูก ต้นหนึ่งๆ ใช้เวลาในการเจริญเติบโตก็ประมาณ 7-8 ปีทีเดียว เป็นไม้ที่ไม่ค่อยชอบอากาศหนาว เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อไข่เน่าเหมือนกัน เพราะฟังดูแล้วไม่ไพเราะ แต่ต้องล้างความคิดนี้ออกไป เพราะโบร่ำโบราณเขาตั้งชื่อกันมาอย่างนี้ก็คงมีเหตุผล

การทำน้ำไข่เน่า

ส่วนประกอบ

1. ผลไข่เน่า 75 กรัม

2. มะขามเปียก 30 กรัม

3. ใบเตย 15 กรัม

4. น้ำเปล่า 2 ลิตร

5. น้ำตาลกรวด 400 กรัม

6. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีการทำ

1. เติมน้ำ 2 ลิตร ในหม้อ แล้วต้มให้เดือด ใส่ผลไข่เน่า 75 กรัม ต้มเคี่ยวประมาณ 30 นาที

2. ใส่มะขามเปียก 30 กรัม ใบเตยสด 15 กรัม เติมน้ำตาลกรวด 400 กรัม ต้มต่อไปอีก 20 นาที ทิ้งไว้พออุ่นๆ

3. กรองด้วยผ้าขาวบาง รินใส่แก้วดื่มอุ่นๆ หรือเก็บใส่ตู้เย็น

นอกจากจะทำน้ำไข่เน่าแล้ว คุณยุทธนายังมีไข่เน่าแช่อิ่มด้วย สำหรับไข่เน่าแปรรูปที่ทำนี้อยู่ได้นานถึง 6 เดือน

สำหรับผลไข่เน่าที่ยังไม่สุกจะมีสีเขียวและแข็ง ผลสุกแก่เต็มที่สีจะเปลี่ยนเป็นสีดำเทาอ่อนนิ่ม ผลโตประมาณ 1-1.5เซนติเมตร

การขยายพันธุ์ ใช้เมล็ด

สรรพคุณ ผลมีรสหวาน มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยบำรุงสมอง บำรุงไต ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ผู้สูงวัยช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ เนื้อไม้ของต้นไข่เน่ามีความแข็งแรงนำมาทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือนได้

ในปัจจุบันนี้ ไข่เน่า ไม่ใช่ต้นไม้หัวไร่ปลายนากันอีกแล้ว หลายคนเริ่มนิยมรับประทานผลไข่เน่ากันมากขึ้น ตามตลาดนัดหรือตามละแวกขายอาหารสมุนไพร ร้านอาหารสุขภาพ จะมีผลไข่เน่ามาวางขาย ทั้งผลสุกและเป็นน้ำแปรรูป รวมไปถึงร้านขายพรรณไม้ จะมีต้นไข่เน่า ไว้จำหน่ายเช่นกัน

ต่อไปถ้าเห็น ผลไข่เน่า วางจำหน่ายที่ไหน ท่านใดที่รักษาสุขภาพก็ลองซื้อหามาลองชิมได้

ตลาดสินค้าไหมในอินโดนีเซีย

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ในส่วนของกรมหม่อนไหมก็มีการศึกษาข้อมูลด้านหม่อนไหมเพื่อเตรียมพร้อมผลักดันไหมไทยเข้าสู่ตลาดอาเซียน

โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ส่ง นางสาวศิริพร บุญชู ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์และตรวจสอบมาตรฐานหม่อนไหม เดินทางไปศึกษาสถานภาพการตลาดสินค้าไหมในประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้โครงการศึกษาสถานภาพการตลาดสินค้าไหมในอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างการผลิตและการตลาดสินค้าไหมของประเทศอินโดนีเซีย ศึกษาค่านิยมและพฤติกรรมการซื้อสินค้าไหมของประเทศอินโดนีเซีย และแนวทางในการตรวจสอบมาตรฐานและกฎระเบียบด้านสินค้าไหมประเทศอินโดนีเซีย

โดยจากการศึกษาสถานภาพการตลาดและเก็บข้อมูลสิ่งทอ ณ ตลาดสิ่งทอที่สำคัญ ได้แก่ Sarinah Thamrin Plaza, Jakarta พบว่า การค้าสินค้าไหมในจาการ์ตา ส่วนใหญ่ไม่นิยมนำผ้าไหมหรือสินค้าจากไหมวางขายมากนัก เนื่องจากราคาสูง แต่จะวางจำหน่ายในร้านที่ได้รับความนิยม และเป็นกลุ่มลูกค้าผู้มีฐานะสูง ดังนั้น ตลาดสินค้าไหมจึงค่อนข้างแคบไม่เป็นที่นิยม และที่สำคัญคือ สินค้าที่ผลิตจากไหมหากนำมาวางจำหน่าย ส่วนใหญ่เป็นไหมที่นำเข้าจากจีน เวียดนาม และอินเดีย ส่วนมากเป็นไหมที่มีการผสมกับวัตถุดิบชนิดอื่นปนเข้าไป จึงทำให้สินค้าไม่มีคุณภาพ ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่น

“แต่หากเป็นสินค้าไหมที่ผลิตจากไทย ติดแบรนด์และป้ายว่า ไหมแท้จากไทย จะเป็นสินค้าที่ได้รับความเชื่อมั่นและเป็นที่นิยม ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะรุกการผลิตที่ทำเป็นแบรนด์จากไทยและระบุชัดว่า เป็นไหมแท้จากไทย เพื่อรักษาฐานลูกค้าตลาด Hi End นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาข้อมูลสถิติการนำเข้าส่งออกสินค้าไหม และกฎระเบียบในการนำเข้าส่งออกที่สำคัญของประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย” นายอภัย สุทธิสังข์ กล่าว

Leave a comment