พฤกษานาม…แทนนารี (ห่วง) กุลสตรี Valentine

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05032010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

พฤกษากับเสียงเพลง

มานพ อำรุง

พฤกษานาม…แทนนารี (ห่วง) กุลสตรี Valentine

อันกุลสตรี เหมือนดวงมณีมีค่า

สวยเอยสวยกว่า หอมเอยหอมกว่าดอกไม้

ฉันรักบุปผา ฉันนำบุปผา มาร้อยมาลัย

ให้ทุกสตรี หอมคุณความดี มีสุขเอย

เป็นท่อนสุดท้ายจากบทเพลง ชื่อกุลสตรี ซึ่งขับร้องโดย คุณจินตนา สุขสถิตย์ ประพันธ์คำร้องโดย ครูชาลี อินทรวิจิตร ประพันธ์ทำนองโดย ครูสง่า อรัมภีร์ ถ้านับอายุเพลงแล้ว ก็เกือบจะเท่าสุภาพสตรีวัยกลางคน ซึ่งมีสิทธิ์เป็นคุณย่า คุณยายได้เลย

คำร้อง หรือเนื้อเพลงนี้ น่าจะนำมาเผยแพร่ แทรกแซงบทเพลงที่ชื่นชม “วันแห่งความรัก” หรือเทศกาลวันวาเลนไทน์ เพราะได้ให้สติแก่เหล่าสตรีทั้งหลายให้ยังคงรักษาความงามแห่งความเป็น “กุลสตรี” เหมือนกับตัวละครในหนังสือ “ผู้ดี” ซึ่งเขียนไว้โดยท่านผู้ใช้นามว่า “ดอกไม้สด” อันเป็นนามปากกาของ หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินทร์ ที่ได้ประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2481

ความเป็น “กุลสตรี” ดูเหมือนจะมีความขัดแย้ง หรือสวนทางกับเทศกาลวันวาเลนไทน์ เนื่องจากวัยรุ่นปัจจุบันนี้ นำคำนี้มาตีความว่าเป็นวันของพวกเขาที่จะกล่าวถึง และแสดงออกเกี่ยวกับความรักอย่างอิสระ มีสิทธิ์ที่จะบอกความในใจ หรือจะบอกรักใครได้อย่างไม่มีกำแพงประเพณีใดๆ ขวางกั้น นี่แหละคือเหตุผลที่น่า “ห่วง” ว่าความเป็นกุลสตรีที่มีอยู่ในตัวหายไปไหน เมื่อวันวาเลนไทน์มาถึง อยากจะแปลงข้อคิดเตือนใจจากสโลแกนครั้งหนึ่งมาใช้ว่า “เอาวาเลนไทน์กลับไปดีๆ เอากุลสตรีคืนมา”

จากบทเพลงหลายๆ บทเพลงที่นำ “ภาษาดอกไม้” มาใช้แทนความรัก คุณค่าความงาม ความดี เปรียบเทียบเหล่ากุลสตรีทั้งหลายเป็นดอกไม้ที่รวยรินกลิ่นหอม แต่ก็…”แพ้ความหอมกรุ่น หอมคุณสมบัติสตรี” ทั้งยังมีคำยืนยันในบทเพลงอีกว่า “…ฉันมองบุปผา ฉันรักบุปผา รักมาลี รักเหมือนสตรี รักคุณความดีของตน” ก็แสดงว่าดอกไม้พฤกษานานาพันธุ์ก็เกิดมาเพื่อความดีเช่นกัน

ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ ถ้าไม่ติดยึดเพียง “ดอกกุหลาบ” ก็มีมวลมาลี มวลไม้ดอกที่ใช้เป็นตัวแทนแห่งความรักได้ทุกดอก เพราะคุณสมบัติของดอกไม้ตามแต่ละชนิดย่อมมีคุณสมบัติ ความดี และคุณค่าในตัวเองทุกพฤกษาพรรณ

ดังนั้น ถ้าหากว่าจะเปรียบเทียบมวลพฤกษามาลีแต่ละชนิดพรรณ ก็ย่อมจะอนุมานได้กับเหล่าสตรีแต่ละนางได้เช่นกัน ซึ่งแต่ละชนิดดอกก็บอกได้ว่า สีดอกสวย กลิ่นดอกหอม มีความคงทน นานๆ ออกดอก บานเช้าเหี่ยวเย็น กลิ่นดอกไม่พึงประสงค์ กลีบดอกร่วงเร็ว ซึ่งล้วนแล้วเปรียบกับสตรีได้ทุกๆ คุณสมบัติที่กล่าวมา และมีมากกว่าที่กล่าวไว้ด้วย

ลองหันมามองมวลเหล่าสตรี ทุกนารีก็มีคุณสมบัติ ความงาม คุณความดี วิถีแต่ละนาง แต่ละอนงค์ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะนางได้เช่นกัน มีสิ่งหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับมวลดอกไม้ คือชื่อนามที่เรียกขานนั้น ที่จะระบุเอกลักษณ์ของความเป็นสุภาพสตรี กลายเป็น “พฤกษานารี” บ่งบอกความเป็น “ผู้หญิง” โดยเราลองมาร่วมค้นหาพฤกษาที่มีชื่อ ที่ผู้หญิงทั้งหลายใช้เป็นคำเรียกขานแทนตัว พอจะเป็นตัวอย่างที่เมื่อเอ่ยนามแล้ว ชวนให้จินตนาการถึงเจ้าของนามนั้นๆ ดั่งดอกไม้งาม

กระดังงา กฤษณา กรรณิการ์ ก้านทอง กาหลง กุหลาบ กุมารี กระถิน กาดหอม การะเกด

ไข่ดาว ขมิ้น ข้าวจี่ เขี้ยวกระแต

คัดเค้า แคทลียา คำฝอย แคแสด

จันทน์กะพ้อ จำปี จำปูน จามจุรี จันทน์แดง จันทนา

ชบา ชวนชม ช้องนาง ชมนาด ชงโค

ซ่อนกลิ่น

ตันหยง ตรุษจีน แตงไทย แตงโม

ดาวเรือง เดือนฉาย

เทียนกิ่ง

นมแมว นางแย้ม โนรา

บานเย็น บัวผัน บัวเผื่อน บัวคลี่ บานบุรี เบญจวรรณ บุหงา บุนนาค บัวนิล

ปาหนัน ปีบ

ผกากรอง ผกาแก้ว

พวงแสด พวงทอง พวงแก้ว พิกุล พุดจีบ พวงชมพู พวงหยก พุทธชาด พุดซ้อน

เฟื่องฟ้า

มะลุลี มะลิวัลย์ มณฑา มะลิซ้อน

ยี่หุบ ยี่สุ่น ยี่โถ

รำเพย รวงผึ้ง รสสุคนธ์ ราตรี

ลำดวน ลั่นทม ลดาวัลย์

สร้อยฟ้า สายน้ำผึ้ง สารภี สะแกวัลย์ สร้อยสุมาลี เสาวรส

หิรัญญิการ์ หอมนวล

อรพิม อัญชัน อรัญญิการ์ เอื้องคำ เอื้องผึ้ง อรคนธ์

ก็พอจะเป็นตัวอย่าง นามพฤกษา แทนชื่อนารี เหล่ากุลสตรีทั้งหลายได้

เมื่อได้กล่าวถึงนามพฤกษานารีแล้ว ขออนุญาตที่จะกล่าวถึงบทบาทของกุลสตรีที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากบทบาทของสังคมปัจจุบัน ให้โอกาสที่จะแสดงออกสำหรับสิทธิส่วนบุคคล จนอาจจะเกินเลย “บริบท” ของความพอดีแห่งคุณค่าของกุลสตรีที่จะพึงปฏิบัติ โดยเฉพาะวัยรุ่นปัจจุบัน ที่รับเอาพฤติกรรมต่างธรรมเนียมประเพณี หรือยึดถือ “ลัทธิเอาอย่าง” เห็นพฤติกรรมของชนต่างประเพณีนิยมเป็นแบบอย่าง

มีเนื้อร้องของบทเพลง “กุลสตรี” ตอนหนึ่ง ประพันธ์ไว้ว่า

นารีมีความสวยสามประการ

สวยน้ำคำร่ำกล่าวขานหวานหวานกับทุกคน

สวยน้ำใจใสเย็นเช่นหยาดฝน

สวยน้ำมือคือน้ำมนต์ รู้จักปรนนิบัติทั่วไปฯ

ได้เคยนำบทเพลงเพลงนี้ประกอบงานเขียน “พฤกษากับเสียงเพลง” มาแล้วไม่น้อยกว่า 7 ปี ดีใจมากที่ได้อ่านพบคำวิจารณ์ จากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ถามหาบทเพลงนี้ว่า “กุลสตรี เพลงดีหายไปไหน” ในฉบับวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2553 เพราะกล่าวถึงงานฉลองวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2553 โดยกล่าวถึงว่า

“วันจันทร์ ที่ 8 มีนาคม นี้ ก็จะเป็นวันสตรีสากลอีกแล้ว มีเพลงไทยสากลที่เหมาะจะเป็นเพลงประกอบวันสตรีสากล ไม่เฉพาะปีนี้เท่านั้น แต่เหมาะกับวันสตรีสากลตลอดไป คือ เพลง “กุลสตรี”

เมื่อเอาคำร้องในเพลง กุลสตรี มาพินิจวิเคราะห์แล้ว เพลงนี้กระทรวงศึกษาธิการ น่าจะนำมาให้นักเรียนหญิง นักศึกษาหญิง ฝึกหัดขับร้องให้ได้ทุกคน เพราะทุกคำในเพลงนี้ เป็นคำสอนลูกผู้หญิงให้รู้จัก รักนวล สงวนตัว รู้ว่าความสวยที่แท้จริงของลูกผู้หญิงคืออะไร

มุมมองของลูกผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี ที่ ครูชาลี อินทรวิจิตร บรรยายไว้ในบทเพลง คือความสวยสามประการ ที่ทำได้ไม่น่าจะยากเย็น คือ งามน้ำคำ งามน้ำใจ และ งามน้ำมือ ที่ปรนนิบัติ พ่อ แม่ หรือสามี ล้วนแต่ทำให้ลูกผู้หญิงเป็นสุภาพสตรีที่สูงค่า ซึ่งผู้หญิงควรมีไว้เป็นคาถาประจำใจ”

นักบุญ Valentine ถูกประหารชีวิตตั้งแต่ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ คริสตศักราช 270 ในสมัยพระเจ้าจักรพรรดิโรมันเคลาดิอุสที่ 2 เป็นเหตุการณ์บันทึกกี่ปีผ่านมาแล้ว แต่ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการเลือกคู่ของชาวตะวันตกที่จะทดลอง ทดสอบมิตรภาพความสัมพันธ์ เพื่อจะครองคู่อยู่รักกัน 1 ปี ว่าอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ โดยมีเทพเจ้าองค์หญิง เทพธิดา Juno Februata เป็นผู้ดูแลความรักให้ ตามตำนานที่กล่าวขานเชื่อกันมานี้ แต่เชื่อมโยงมาถึงเมืองไทยเราเมื่อไหร่มิทราบได้ ซึ่งทำให้เหล่ากุมาร กุมารีของเราตื่นเต้นที่รอให้ถึงวันวาเลนไทน์ เพื่อจะรอมอบดอกไม้และความรักซึ่งกันและกัน แทนความหมายที่ตราตรึงหัวใจทั้งผู้รับและผู้มอบให้ จนอาจจะมีใครบางคนลืมสะกดคำว่า “กุลสตรี”

มีบทเพลงที่กล่าวถึงดอกไม้ เชื่อมโยงกับวันวาเลนไทน์มากมาย ไม่เพียงแต่สมัยก่อนที่ได้กล่าวถึง เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้ เอกลักษณ์และสัญลักษณ์ที่วัยรุ่นใช้เป็นตัวแทน บ่งบอกความรู้สึก ความในใจ มักจะแสดงออกโดยวิธีมอบดอกไม้ ตามแบบที่เห็นสากลปฏิบัติ โดยซึมซับเข้ามาเป็นประเพณีของวัยรุ่นแล้ว ผ่านมาถึง ณ วันนี้ รู้สึกเป็นห่วงต่อพฤติกรรมแฟชั่นนิยมของวัยรุ่น ที่รู้จักเพียงว่า วันนี้เขาทำอะไรกัน โดยไม่เข้าใจว่าที่มาของกิจกรรมประเพณีนั้นมีความเป็นมาอย่างไร และถูกครอบงำด้วยระบบธุรกิจเข้ามาผสมผสานผลประโยชน์ มาเสริมเติมปรุงแต่ง จึงกลายเป็นวันธุรกิจแห่งความรักไปด้วยความเต็มใจของทุกฝ่ายอย่างกลมกลืน และด้วยโลกปัจจุบันที่ “ไร้พรมแดน” จึงไม่มีกำแพงใดๆ ที่จะหยุดยั้งวัยรุ่นปัจจุบันได้เลย

มวลดอกไม้ที่นำมาสื่อแทนความหมาย บอกความรู้สึกเป็นตัวแทนความในใจที่อาจจะเรียกว่าเป็น “พฤกษาสวาท” มักจะคิดถึงดอกกุหลาบเป็นอันดับแรก ซึ่งได้รับการล้อมกรอบ ตีความว่าเป็นดอกไม้วันแห่งความรัก วาเลนไทน์ ความเป็นจริงดอกไม้ทุกดอก ทุกชนิด น่าจะใช้สื่อความหมายว่าเป็นตัวแทนแห่งความรักได้โดยไม่จำกัดอายุ เพศ และสถานภาพแห่งความรักเลย ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นที่ปรารถนา เนื่องจากไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ ก็ได้ เพราะเป็นการเอ่ยถึงความรักด้วยการกระทำ เช่น กุหลาบสีแดง แทนคำว่า “ฉันรักเธอ” กุหลาบสีขาว บอกถึงความรักที่บริสุทธิ์ จริงใจ กุหลาบสีชมพู ให้รู้ว่า หวาน โรแมนติกสู่ห้วงเสน่หา กุหลาบสีเหลือง มีแนวสดใสแบบเพื่อน แต่แปลกที่เมื่อกล่าวถึง กุหลาบสีดำ จะตีความหมายเป็นรักอมตะ รักนิรันดร์ ยั่งยืน ดังเนื้อเพลงบทหนึ่ง ที่กล่าวว่า “…กุหลาบดำ จำวาจาเจ้าฝากไว้ กุหลาบไซร้ คือรักแท้ที่เฝ้าฝัน สีดำหรือคือความรัก จักคงมั่น กุหลาบดำจึงแทนคำรักนิรันดร์”

มีความหมายอีกอย่างกับจำนวนดอกที่จะบอกความรู้สึก แทนความในใจได้เช่นกัน เนื่องจากมีมอบให้แก่ ตั้งแต่ 1 ดอก ถึง 101 ดอก โดยนิยามความหมายว่า 1 ดอก บอกความหมายว่ารักแรกพบ 3 ดอก บอกว่าฉันรักเธอ 9 ดอก บอกว่าจะรักเธอตลอดไป 12 ดอก บอกขอให้เธอเป็นคู่กับฉัน 13 ดอก บอกเธอเป็นเพื่อนแท้ของฉัน 40 ดอก บอกว่ารักแท้ 99 ดอก บอกรักเธอจนตาย ถ้าเป็น 101 ดอก บอกว่าฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น จะสงสัยอยู่หน่อยเดียว ช่อมัดดอกกุหลาบ 101 ดอก จะใหญ่แค่ไหน หนามกุหลาบจะตำอกคนรักหรือไม่ แต่ก็หายสงสัย เมื่อได้ยินเพลง “กุหลาบแดง” ซึ่ง คุณไก่ พรรณนิภา ขับร้องไว้ตอนหนึ่งว่า “ปลูกกุหลาบแดงไว้เพื่อเธอ เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดอก บ่งบอกความจริงที่ยิ่งใหญ่ บ่งบอกว่าใจฉันยังคงมั่น พันปี หมื่นวันไม่เคยหน่าย ฟ้าดินสลาย หัวใจมั่นรักเธอ” ถ้าจะสงสัยก็เพียงว่า 9,999 ดอก หากมัดรวมช่อดอกไม้วันวาเลนไทน์ จะใหญ่สักปานใด

อย่างไรก็ตาม ยังมี “พฤกษาสวาท” อีกหลายชนิด ที่บ่งบอกความรู้สึกถึงความรัก เช่น ดอกทิวลิปสีแดง บอกว่า ประกาศรักอย่างเปิดเผย ลิลลี่สีขาว หมายถึงบอกรักอย่างบริสุทธิ์ใจ จริงใจ เทิดทูน ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู สื่อว่าถึงอย่างไรก็รักคุณ ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต ความหมายตรงตัวว่า โปรดอย่าลืมฉัน หรือความรู้สึกที่ดีต่อกัน แม้แต่ดอกทานตะวัน ก็ยังใช้บอกความรู้สึกคลั่งไคล้ มั่นคง และฟันฝ่าอุปสรรคต่อกัน ก็แสดงให้เห็นว่า พฤกษาจะกี่ดอก สีอะไร ก็บ่งบอกถึงความรักที่จะตราตรึงใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

หนุ่มสาววัยรุ่นปัจจุบัน คงจะตื่นเต้นกับวันวาเลนไทน์ เพราะพวกเขามีโอกาสได้แสดงออกเป็นตัวเองตามนัยแห่งวัยวุฒิ เข้าใจเชิงจิตวิทยากับเขาเหล่านั้นดี แต่ไม่อยากจะส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่พึงควรปฏิบัติของหนุ่มสาวที่จะยึดเอา “อย่าง” ที่ไม่ดีมาเป็น “เยี่ยง” ที่ไม่สมควร แต่ก็ดีใจมากๆ ที่มีการส่งเสริมให้ใช้ดอกไม้แทนใจบอกรักกันมากๆ เพราะอย่างน้อยที่สุด ชาวสวนดอกไม้ ชาวไร่พฤกษา ก็จะขายดอกไม้ได้ราคาดี มีคนซื้อแน่นอน

มีบทเพลงชื่อ 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ หลายบทเพลง ที่ต่างคนขับร้อง และต่างเนื้อร้อง ทำนอง ของนักร้องแต่ละท่าน เช่น

สายัณห์ สัญญา (ขึ้นต้นว่า)

14 กุมภาวันวาเลนไทน์ ของขวัญจากใจฉันมอบแด่เธอ ฝากใจดวงนี้ที่มันละเมอ คิดถึงเธอไม่มีวันลืม

กุหลาบสีแดงที่มอบแด่คุณ เพื่อเป็นไออุ่นเมื่อยามคุณเหงา ฝากไปกระซิบหัวใจเบาเบา เมื่อยามคุณเศร้า มันคงผ่อนคลาย…ฯลฯ

คุณสดใส ร่มโพธิ์ทอง ขับร้อง ขึ้นต้นว่า

14 กุมภา เป็นวันที่ลาจากน้องไปไกล น้องคร่ำครวญอยู่ชิดแนบกาย พี่เฝ้าปลอบใจ จูบซับน้ำตา…ฯลฯ

คุณเพชร สหรัตน์ ขับร้อง ขึ้นต้นว่า

14 กุมภา วันวาเลนไทน์ ทุกปีดอกไม้เธอส่งมา ฉันได้รับข้อความเขียนว่า แด่…แก้วตาดวงใจ 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ ดอกไม้ฉันส่งให้เธอ ข้อความส่งไปได้รับไหมเอ่อ คือฉันรักเธอมากมาก…ฯลฯ

สำหรับคนที่ไม่อยากให้มีวันวาเลนไทน์ ก็คงจะไม่อยากย้อนอดีตวันนั้น เช่น ฝน ธนสุนทร ขับร้อง เพลงชื่อ “แผลเป็นวันวาเลนไทน์” ขึ้นต้นว่า

ไม่อยากให้ถึงวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาคราใด หัวใจร้องไห้ทุกครั้ง วันแห่งความรัก ต้องกลายเป็นคนรักพัง เพราะคนเคยให้ความหวัง เขาพังรักกลางกุมภา หลอกให้ไปหาแล้วลาลืมกัน กุหลาบหลุดมือซีดสั่น เห็นเขากอดกันตำตา…ฯลฯ

เช่นเดียวกับ กัน ณ ภัทร (เดอะสตาร์) ขับร้อง เพลง Bad Valentine ตอนหนึ่งกล่าวว่า “ดอกไม้ละลานตาที่เขาให้กันวันนี้ แต่ฉันไม่เคยมี กี่ปีก็เป็นอยู่อย่างนั้น สุขสันต์วันแห่งความรักให้ใครต่อใครเขา แต่สุขสันต์วันแห่งความเหงา ให้เราที่ต้องเดียวดาย…ฯลฯ

จะเห็นว่า ไม่ว่า สุข หรือ โศก ก็มีดอกไม้มวลมาลีมาเป็นตัวเชื่อมประสาน เป็นทั้งผสานแห่งความรักสู่สวรรค์ หรืออาจจะมอบดอกไม้จันทน์แทนใจ

ก็อยากจะย้ำให้สติแก่กุลสตรีที่มีใจรักวันวาเลนไทน์ อย่าให้ดอกไม้นำสู่คำว่า “รักผิดทาง” จึงขอเสนอให้ฟังเพลงชื่อ “แสงทิวา” แล้วปฏิบัติตามท่อนสุดท้ายที่ขับร้องไว้ว่า “เป็นสาวคราวเดียวในชาติหนึ่งรู้เต็มทรวง สาวเจ้าควรจะหวง หวงซึ่งสิ่งสงวน รอวันคืนเมื่อถึงเวลาที่ควร ถึงคราวมอบกายใจนวล เมื่อควรนั้นคือสู่หอวิวาห์” ขับร้องโดย คุณสวลี ผกาพันธุ์ กว่า 40 ปีมาแล้ว!

Leave a comment