ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05088010259&srcday=2016-02-01&search=no
| วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616 |
เยาวชนเกษตร
สุจิต เมืองสุข
สมาชิกยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ เผยเคล็ดลับเด็ด คว้ารางวัล
เปิดคอลัมน์เยาวชนเกษตร ของนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน ในปี 2559 ด้วยการนำแนวคิดของสมาชิกยุวเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ ของปี 2558 มาเปิดให้ได้เห็นในทุกแง่มุม
อันที่จริง เด็กชายพีรพงษ์ หลงศิริ ปัจจุบัน กำลังศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี (บุญยังราษฎร์นาวีอุปถัมภ์) ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ภูมิลำเนาเป็นชาวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เพราะบ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบัน ตั้งอยู่ หมู่ที่ 8 ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ห่างจากโรงเรียนไปเพียง 1 กิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นเด็กชาย 2 จังหวัด และรางวัลที่เด็กชายพีรพงษ์ได้รับไปนั้น ถือว่าเด็กชายพีรพงษ์เป็นเด็กเก่งที่มีความรู้ ความสามารถ ในเชิงเกษตรกรรมของทั้งจังหวัดนครนายก และ จังหวัดฉะเชิงเทรา
ด้วยวัยเพียง 12 ปี ซึ่งอาจจะดูยังเด็กนัก แต่เพราะเด็กชายพีรพงษ์เติบโตมาในชนบท แวดล้อมไปด้วยเกษตรกรรมและธรรมชาติ ทำให้เด็กชายพีรพงษ์ฉายแววแต่เด็ก เริ่มหยิบจับงานเกษตรภายในครอบครัวเท่าที่ทำได้ เมื่อก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน วิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ซึ่งมีวิชาชีพเกษตรเป็นส่วนหนึ่งในวิชาเรียน ทำให้เด็กชายพีรพงษ์ เข้าใจตัวเองได้ทันทีว่า ชอบการเกษตรกรรม
“ตอนผมอยู่ประถมศึกษา ครูยังไม่ได้ให้หยิบจับอะไรอย่างเต็มที่นัก เพราะยังเล็ก แต่ผมก็ช่วยพี่มัธยมทำทุกอย่างที่พอจะทำได้ ถึงแม้ว่ายังเด็ก ทำไปเล่นไป แต่ก็ถือว่าได้ความรู้จากการลงมือทำ ผมเริ่มจากรดน้ำต้นไม้ และที่ทำบ่อยคือ ล้างคอกหมู เป็นงานที่สนุก แม้จะเลอะเทอะไปบ้าง แต่ผมก็ชอบ”
ตลอดการศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนปลาย เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า การเรียนในวิชาอื่นเขาไม่ทิ้ง คงหมั่นฝึกฝนตลอด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งงานเกษตร เพราะถือเป็นงานที่รักและสนุกมาก สำหรับเด็กวัยประถมศึกษาคนนึง เมื่อโรงเรียนจัดตั้งกลุ่มยุวเกษตรกรขึ้น เด็กชายพีรพงษ์ก็ไม่พลาดที่จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม กระทั่งมีการคัดเลือกสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรภายในจังหวัดเพื่อเป็นตัวแทนระดับจังหวัด ไปแข่งระดับประเทศ เด็กชายพีรพงษ์ ก็ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งคัดเลือกเป็นตัวแทนจังหวัด
ปัจจัยที่ทำให้เด็กชายพีรพงษ์บอกว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้เขาได้มีโอกาสเป็นตัวแทนโรงเรียน ก้าวไปสู่ตัวแทนในระดับจังหวัดไปแข่งในระดับประเทศ และท้ายที่สุดคือการคว้ารางวัลสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรระดับประเทศมาครอง คือ ประสบการณ์ที่เขาได้หยิบจับด้านการเกษตรมาโดยตลอด
ประสบการณ์จริงที่เด็กชายพีรพงษ์เล่า จับใจความได้ว่า ตลอดการศึกษาชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เขารับหน้าที่ล้างคอกหมู รดน้ำผัก ช่วยเหลือกิจกรรมเกษตรทุกชนิด กระทั่งเลื่อนระดับการศึกษาขึ้นเป็นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ก้าวเข้าสู่กิจกรรมเกษตรภายในโรงเรียนเต็มตัว โดยเป็นประธานกลุ่มโรงสีข้าว และ ประธานกลุ่มปศุสัตว์ ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
กิจกรรมการเกษตรภายในโรงเรียน เป็นสิ่งที่เด็กชายพีรพงษ์ปฏิบัติในทุกวันอย่างไม่บกพร่อง เมื่อรู้ตัวว่ารักเกษตรกรรม ก็หันกลับไปมองที่บ้าน ซึ่งมีพื้นฐานอาชีพเกษตรอยู่แล้ว โดยเด็กชายพีรพงษ์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มคิดอยากทำเกษตรด้วยตนเองที่บ้าน เมื่อครั้งศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยเริ่มต้นจากการปลูกผักสวนครัว เช่น พริก กะเพรา โหระพา ผักบุ้ง เท่าที่พอจะทำได้
เด็กชายพีรพงษ์ อาศัยอยู่กับพ่อเพียง 2 คน พี่ชายไปเรียนอยู่ต่างจังหวัด ส่วนแม่ทำงานในตัวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จึงกลับบ้านไม่บ่อยนัก เมื่ออยู่กับพ่อเพียง 2 คน ภาระงานบ้านในครัวเรือนจึงตกเป็นของเด็กชายพีรพงษ์ เพราะพ่อต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ด้วยการประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ทำอยู่อย่างเต็มที่ เด็กชายพีรพงษ์ มีแนวคิดทำการเกษตรที่บ้าน เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นหนทางหนึ่งในการช่วยลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือน หรือหากจะได้มากกว่านั้น ก็คือนำไปใช้เป็นทุนในการศึกษา เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการเรียนของตนเอง
“ผมปลูกผักสวนครัวก็เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำกับข้าว เช่น ตะไคร้ พริก กะเพรา ยี่หร่า ข่า มะกรูด มะนาว ผมเรียนรู้การทำการเกษตรบางส่วนจากพ่อ เช่น การปรับสภาพน้ำในบ่อกุ้ง เพราะที่บ้านทำบ่อกุ้ง พื้นที่ 2 ไร่ นอกจากนี้ยังต้องจ่ายตลาดและทำกับข้าวด้วยตนเอง โดยเรียนรู้จากแม่ครัวในโรงเรียน เพื่อประกอบอาหารกินในครัวเรือน ซึ่งเมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูกที่บ้านก็ขอแบ่งจากโรงเรียนบ้าง”
“การปลูกผักสวนครัว เป็นเพียงการเริ่มต้นที่ไปได้ดี” เด็กชายพีรพงษ์ บอก และเล่าต่อว่า ผักสวนครัวทำมาได้ประมาณ 1 ปี เริ่มอยากเลี้ยงสัตว์ จึงเริ่มเลี้ยงเป็ดไข่ เพราะไข่เป็ดเก็บมากิน ขาย ทั้งยังขายเนื้อเป็ดหลังจากหมดไข่ได้อีก ซึ่งเป็ดที่เลี้ยงมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ พันธุ์นครปฐม พันธุ์ปากน้ำ และพันธุ์กากี แคมพ์เบลล์ เริ่มจากการทำเล้าให้เป็ดไข่ ขนาด 4×4 เมตร ให้อาหารเช้าและเย็น ตอนกลางวันปล่อยให้หาอาหารกินเองในบ่อเล็กๆ ที่มีน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำใกล้ๆ เหมือนการเลี้ยงปล่อย ระยะแรกที่เป็ดไข่ก็เก็บไข่มากิน เหลือก็ขายให้ในชุมชน หากยังเหลืออีกก็นำมาทำไข่เค็ม ที่ผ่านมาขายไข่เป็ดในราคา 90-100 บาท ต่อ 30 ฟอง ไข่เป็ดที่เหลือแล้วนำไปทำไข่เค็ม การฝึกทำไข่เค็มหลังจากที่ได้เรียนรู้จากโรงเรียน เมื่อทำไข่เค็มล็อตแรกแล้วเสร็จ ก็นำไปให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงชิม ซึ่งก่อนหน้าเลี้ยงเป็ดไข่ เด็กชายพีรพงษ์ ยังทดลองเลี้ยงไก่ไข่ 10 ตัว ทำโรงเรือนให้ หลังจากไก่ไข่ให้ไข่ ก็เก็บไข่กิน เหลือเก็บขายเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน บริเวณที่พักอาศัยยังมีพื้นที่ว่างบริเวณขอบบ่อกุ้ง แต่ดินยังคงเป็นดินเปรี้ยวเช่นเดียวกับบริเวณโรงเรียน เด็กชายพีรพงษ์จึงฟื้นฟูสภาพดินด้วยการรดน้ำหมักชีวภาพ ใส่ปุ๋ยคอก และพรวนดิน อย่างสม่ำเสมอ ทำให้บริเวณขอบบ่อบางจุดสภาพดินเริ่มดี เด็กชายพีรพงษ์จึงหาพืชที่ดูแลง่ายมาลงปลูก และได้กล้วยหอมทองต้นเตี้ยมาลงตามแนวขอบบ่อ 30 ต้น และปลูกพืชอื่นเสริม เช่น ฟักทอง น้ำเต้า ผักบุ้งจีน ทั้งยังแยกหน่อกล้วยหอมทองต้นเตี้ยไว้ หากมีใครติดต่อขอซื้อก็แบ่งขาย เป็นรายได้อีกทาง
กบบูลฟร็อก ก็เป็นประมงอีกชนิดที่เด็กชายพีรพงษ์เลือกทำ เขาซื้อลูกกบมาในราคา ตัวละ 2 บาท ค่อยๆ เลี้ยงจนกระทั่งกบเจริญเติบโต ได้น้ำหนักที่สามารถจับขายได้ และสามารถขายได้ในราคา กิโลกรัมละ 70 บาท
ประสบการณ์ที่เด็กชายพีรพงษ์เล่า เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เด็กชายพีรพงษ์นำไปเป็นพื้นฐานในการแข่งขันสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรระดับประเทศ เมื่อถามเด็กชายพีรพงษ์ถึงประสบการณ์ที่นำไปแข่ง เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า เรียบเรียงมาจากประสบการณ์จริงและสิ่งที่สนใจ โดยเริ่มจากครูที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกรของโรงเรียนเป็นคนวางกรอบการนำเสนอให้ แต่เนื้อหาการนำเสนอระหว่างที่แข่งขัน เป็นสิ่งที่เด็กชายพีรพงษ์คิดขึ้นมาในขณะนั้นแล้วพูดสดออกไปทันที ไม่ได้ตระเตรียมเนื้อหาการพูดไว้ล่วงหน้า โดยประเด็นหลักที่เด็กชายพีรพงษ์เห็นว่า ควรมีในทุกสถานการณ์ เพราะเป็นแนวคิดและหลักของการทำการเกษตร คือ การใช้ศาสตร์ 3 ศาสตร์ เข้ามาจัดการ ได้แก่ 1. ศาสตร์ชาวบ้าน คือการนำภูมิปัญญาชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ ศาสตร์สากล คือ การนำงานวิจัยที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ และศาสตร์พระราชา คือ การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินการ
“การกำจัดศัตรูพืช มองอย่างง่ายก็ใช้แมลงกำจัดแมลงด้วยกันเอง เช่น การปล่อยให้แมลงหางหนีบ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของตัวห้ำ ช่วยกำจัดเพลี้ยที่มาลงแปลงผัก นำน้ำหมักชีวภาพ (EM) ผสมกับปุ๋ยคอก ทำเป็นแก๊สชีวภาพ ใช้ลดต้นทุนภายในครัวเรือน เป็นต้น”
เด็กชายพีรพงษ์ ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาในพื้นที่อำเภอองครักษ์ โดยยกตัวอย่างพื้นที่ภายในโรงเรียน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเปรี้ยว การแก้ปัญหาเพื่อให้ปลูกพืชได้ คือ การนำน้ำหมักชีวภาพ (EM) มารด พรวนดินบ่อยๆ ใส่ปุ๋ยคอก ดินที่สภาพเป็นดินเปรี้ยวจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสภาพเป็นดินเค็ม ซึ่งการนำน้ำหมักชีวภาพ (EM) พรวนดินและใส่ปุ๋ยคอก จะช่วยฟื้นฟูแร่ธาตุในดิน แต่ต้องทำเป็นประจำจึงจะช่วยฟื้นสภาพดินได้
ปัญหาที่สำคัญที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอองครักษ์ คือ พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ละครั้งจะท่วมนาน 2-3 เดือน การแก้ปัญหาส่วนนี้ เด็กชายพีรพงษ์ บอกว่า จำเป็นต้องปลูกพืชหนีน้ำ โดยการปลูกพืชใส่กระสอบหรือกระถาง เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมก็ย้ายกระสอบหรือกระถางปลูกไปไว้ในที่ที่ไม่ถูกน้ำท่วม ก็จะช่วยต่อชีวิตพืชได้
แม้เด็กชายพีรพงษ์จะได้รับรางวัลระดับประเทศ แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเด็กชายตัวเล็กๆ คนนี้ก็ไม่ได้ดีขึ้น โดยเด็กชายพีรพงษ์ ตั้งความหวังไว้ว่า อยากปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แต่ที่ยังไม่ได้ทำ เพราะต้องใช้ทุนค่อนข้างสูง และอนาคตอยากเรียนทางด้านวิศวกลการเกษตร แต่ยังขาดทุนทรัพย์ทางการศึกษา หากท่านใดยินดีสนับสนุนก็ขอน้อมรับ
ในท้ายที่สุดของการพูดคุย เด็กชายพีรพงษ์ฝากถึงพี่น้องเยาวชนด้วยกัน ให้มองเห็นคุณค่าของการเกษตรกรรม เพราะเป็นรากฐานที่สำคัญของการดำรงชีวิต หากคิดจะทำการเกษตรไม่ต้องกลัวขาดทุน เพราะก่อนลงมือทำสิ่งใด ควรศึกษาหาความรู้ให้แน่นและแม่นยำ หากยังไม่แน่ใจ ไม่ควรเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาสามารถเกิดขึ้นได้ตลอด ดังนั้น หากพบกับปัญหาก็ควรแก้ไข เพราะปัญหามีไว้ให้แก้ เพียงแต่อย่าท้อเท่านั้นเป็นพอ
สนใจแนวคิดของ เด็กชายพีรพงษ์ หลงศิริ ติดต่อได้ที่ บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 8 ตำบลดอนเกาะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โทรศัพท์ (094) 851-7247 หรือโรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี (บุญยังราษฎร์นาวีอุปถัมภ์) ตำบลบางสมบูรณ์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก