“ส้มเขียวดำเนิน” ไม้ผลดาวรุ่ง ในอำเภอหนองเสือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05049010259&srcday=2016-02-01&search=no

วันที่ 01 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 616

เทคโนฯ การเกษตร

สาวบางแค 22

“ส้มเขียวดำเนิน” ไม้ผลดาวรุ่ง ในอำเภอหนองเสือ

“ส้มเขียวหวาน” เป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ลงทุนครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้นานถึง 20 ปี ส้มเขียวหวานปลูกง่าย ใช้เวลาแค่ 3 ปี ก็เก็บผลผลิตออกขายได้แล้ว ส้มเขียวหวานติดผลดก มีผลผลิตตลอดทั้งปี และให้ผลตอบแทนต่อไร่สูง เกษตรกรจึงหันมาปลูกส้มเขียวหวานอย่างเป็นล่ำเป็นสันทั่วประเทศ

ในอดีต “ทุ่งรังสิต” นับเป็นแผ่นดินทองที่มีการปลูกส้มเขียวหวานมากที่สุดในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 150,000 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 80 ของผลผลิตทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเกษตรกรสวนส้มในพื้นที่ตำบลบางมด เขตราษฎร์บูรณะและเขตตลิ่งชัน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตส้มบางมด (ส้มเปลือกล่อน รสหวานจัดอมเปรี้ยวเล็กน้อย) ประสบปัญหาน้ำเสีย จึงได้อพยพมาเพาะปลูกในอำเภอหนองเสือ อำเภอลำลูกกา อำเภอธัญบุรี และอำเภอคลองหลวง ซึ่งที่ดินมีราคาถูกและสภาพน้ำยังดีอยู่

เนื่องจากส้มเป็นพืชที่ต้องการน้ำในปริมาณมาก เกษตรกรทุ่งรังสิตส่วนใหญ่จึงนิยมทำสวนส้มแบบร่องน้ำ เพื่อให้มีปริมาณน้ำมากพอสำหรับหล่อเลี้ยงผลส้มตลอดทั้งปี ส้มเปลือกล่อนที่ปลูกแพร่หลายในทุ่งรังสิต แบ่งได้เป็น 4 ชนิด ได้แก่

1. ส้มผิวบางมด ที่มีลักษณะเด่นเหมือนส้มบางมด คือผิวเป็นกระ มีตำหนิดำ-น้ำตาลแดงเข้ม รสหวานจัด อมเปรี้ยวเล็กน้อย ซังอ่อนนุ่ม กากน้อย

2. ส้มรังสิต สีเหลืองอมเขียว ที่มีรสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เปลือกบาง ซังอ่อนนุ่ม มีกากเล็กน้อย

3. ส้มเขียว ผิวสีเขียวอ่อน รสเปรี้ยวอมหวาน ซังอ่อนนุ่ม มีกากเล็กน้อย เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลืองอมเขียว รสหวานจัดขึ้น

4. ส้มผิวเหลืองอมเขียว เปลือกล่อน ซังอ่อนนุ่ม และกากน้อย รสหวานจัดอมเปรี้ยวเล็กน้อย

ต่อมา ปี 2538 สวนส้มในทุ่งรังสิตประสบปัญหาเรื่องการระบาดของโรคและแมลง ประกอบกับสภาพแวดล้อมทั้งดิน น้ำ อากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาดินเป็นกรด การแพร่ระบาดของโรคกรีนนิ่ง ทำให้ผลส้มร่วง ต้นส้มล้มตายเป็นจำนวนมาก จนต้องเลิกปลูกส้มและหันไปปลูกพืชผัก ไม้ผล และสวนปาล์มน้ำมันแทน แต่หลายรายเลือกที่จะย้ายถิ่นไปลงทุนทำสวนส้มในแหล่งใหม่ เช่น จังหวัดเชียงราย แพร่ กำแพงเพชร ตาก พิจิตร ฯลฯ

“สวนส้ม” คืนถิ่นทุ่งรังสิต

สืบเนื่องจากราคาส้มที่ปรับตัวสูงกว่า กิโลกรัมละ 40 บาท จูงใจให้เกษตรกรในพื้นที่ทุ่งรังสิต ปทุมธานี-นครนายก ฯลฯ หันมาทำสวนส้มใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ตำบลนพรัตน์ และหนองสามวัง ในเขตอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เกษตรกรกว่า 200 ราย ได้เลิกทำนาและหันมาปลูกส้มเขียวหวานพันธุ์ “เขียวดำเนิน” กันอย่างคึกคัก เพราะพ่อค้าแผงผลไม้ที่ตลาดไท ประกาศรับซื้อส้มเขียวหวานไม่จำกัดจำนวน เพื่อรองรับความต้องการของตลาด ที่ต้องการบริโภคส้มเขียวหวานเพิ่มมากขึ้น สำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานี ได้จัดส่งทีมนักวิชาการมาให้ความรู้ เรื่องการปลูก เตรียมดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง พร้อมส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอกมากขึ้น เพื่อลดปัญหาดินกรดในสวนส้ม

ปัจจุบัน แหล่งปลูกส้มในอำเภอหนองเสือ เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวส้มได้กว่า ร้อยละ 40 ของพื้นที่ มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากกว่าปีละ 17,000 ตัน สร้างรายได้สะพัดกว่า 50 ล้านบาท ในปี 2558 สวนส้มในท้องถิ่นแห่งนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มพื้นที่ มีผลผลิตออกสู่ตลาดกว่า 4,000 ตัน

สาเหตุที่เกษตรกรนิยมปลูกส้มเขียวดำเนินกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นพันธุ์ส้มที่ต้านโรคได้ดี ลูกเขียวผิวมัน ผลดก เปลือกบาง น้ำมาก ปอกง่าย รสชาติอร่อย รสไม่เปรี้ยวจัดจนเกินไป ราคาขายส่งหน้าสวน ตั้งแต่ ราคา 14-40 บาท ตามขนาดผลส้มและช่วงฤดูกาล โดยทั่วไปราคาส้มจะถีบตัวสูงเมื่อมีผลผลิตออกตรงกับช่วงเทศกาล เช่น เทศกาลตรุษจีน (กลางเดือนกุมภาพันธ์) เทศกาลสารทจีน (กรกฎาคม-สิงหาคม) วันเช็งเม้ง (มีนาคม-เมษายน)

ตามไปดูสวนส้ม

ที่ อำเภอหนองเสือ

“พี่เมี้ยน เสมอใจ” หนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ มองสวนส้มที่ปลูกบนพื้นที่ 10 ไร่ ด้วยความหวังว่า สวนส้มของเขาจะสร้างรายได้ก้อนโตเข้ากระเป๋า ก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านขายส้มให้แม่ค้าได้ 25 บาท ต่อกิโลกรัม ขณะนี้ต้นส้มที่ปลูกมีอายุ 20 เดือนแล้ว กำลังมีผลผลิตรุ่นแรกที่สามารถเก็บออกขายได้ภายใน 3 เดือนข้างหน้า พี่เมี้ยนตั้งใจเก็บผลส้มที่มีอายุครบ 9 เดือน ออกขาย เพื่อให้ส้มมีรสชาติหวานอร่อยถูกใจผู้ซื้อ โดยคาดหวังว่าผลผลิตของเขาน่าจะขายได้ราคาสูงกว่ากิโลกรัมละ 25 บาท

ครอบครัวพี่เมี้ยน อาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 137 หมู่ที่ 2 ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เบอร์โทร. (082) 726-1325 พี่เมี้ยนเป็นเกษตรกรรุ่นเก๋า ที่ทำสวนส้มมาตั้งแต่สมัยที่กิจการสวนส้มรุ่งเรืองเมื่อ 20 ปีก่อน เมื่อประสบปัญหาโรคส้ม พี่เมี้ยนก็ตัดสินใจเลิกทำสวนส้มและออกไปรับจ้างทำงานในเมืองอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะหวนกลับมาทำสวนผัก เมื่อราคาส้มปรับตัวสูงขึ้น พี่เมี้ยนมองว่าส้มเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้ เมื่อ 2 ปีก่อนเขาจึงหันกลับมาทำสวนส้มใหม่อีกครั้ง

สวนส้มแห่งนี้ได้ยกร่อง ขนาด 3.50 เมตร และนำดินจากท้องร่องตักขึ้นมาวางตามคันร่อง และขุดร่องน้ำลึกประมาณ 90 เซนติเมตร เขาลงทุนซื้อกิ่งตอนส้มเขียวหวานพันธุ์เขียวดำเนินมาปลูก รองพื้นด้วยปุ๋ยคอก ปลูกต้นส้มในระยะห่าง 3 เมตร พื้นที่ 10 ไร่ สามารถปลูกส้มได้ 420 ต้น 1 ร่อง ปลูกต้นส้มได้ประมาณ 70 กว่าต้น หลังปลูกคอยดูแลใส่ปุ๋ย ให้ยา ให้น้ำ สวนส้มตามปกติ

เมื่อต้นส้มเติบโตได้ระยะที่เหมาะสม จึงวางแผนผลิตส้มนอกฤดู โดยบำรุงให้ต้นส้มสะสมอาหารล่วงหน้ามาเป็นอย่างน้อย 45 วันก่อน จึงค่อยบังคับให้ต้นส้มออกดอกเดือนพฤษภาคม และใช้เทคนิคกักน้ำ โดยลดระดับน้ำในร่องสวน ตากดินให้แห้ง เพื่อให้ต้นส้มอดน้ำจนใบเหี่ยว หากจะให้มีผลผลิตมาก ก็ปล่อยให้ต้นส้มเหี่ยวเยอะหน่อย จึงค่อยให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ฉีดยาบำรุงอย่างเต็มที่ ต้นส้มก็จะผลิดอกออกลูกตามที่ต้องการ

พี่เมี้ยนไม่ปล่อยให้มีพื้นที่ว่างในร่องสวนส้ม พี่เมี้ยนตัดสินใจปลูกมะละกอขนาบ 2 ข้างต้นส้ม เพื่อเป็นรายได้เสริมรายวันระหว่างรอเก็บเกี่ยวส้ม มะละกอที่พี่เมี้ยนปลูก ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “มะละกอ จีเอ็มโอ” หาซื้อพันธุ์มาจากแม่ค้าในท้องถิ่น ปลูกแล้วทนทานต่อโรคได้ดี เป็นที่ต้องการของแม่ค้าในตลาดสี่มุมเมือง

เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างคุ้มค่าและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น พี่เมี้ยนตัดสินใจปักค้างไม้ระหว่างร่องสวนส้มเพื่อปลูกฟักเขียว ที่ปลูกใช้เวลาแค่ 2 เดือน ก็สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้ ปีหนึ่งก็ปลูกฟักเขียวได้หลายรุ่น สร้างรายได้เสริมหมุนเวียนเพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของเขาได้ในระดับหนึ่ง น่าเสียดายที่พี่เมี้ยนเพิ่งรื้อแปลงปลูกฟักออกไปเมื่อวันก่อน ทำให้ไม่สามารถเก็บภาพแปลงปลูกฟักสวยๆ มาฝากกัน

“ดินกรด” ปัจจัยเสี่ยง

ของ สวนส้มรังสิต

ในอดีตสวนส้มรังสิตประสบปัญหาผลส้มร่วง เนื่องจากมีปริมาณทองแดงในดินสูง 110-1500 mg/kg ทำให้ผลผลิตลดลง เกิดจากความเป็นพิษของทองแดงต่อพืชตระกูลส้ม โดยจะทำลายระบบรากและนำไปสู่การขาดน้ำของต้นส้ม ทำให้ใบเล็ก ใบร่วง และรากส่วนที่นำอาหารไปเลี้ยงลำต้นหยุดการเจริญเติบโต นำไปสู่การทำให้ผลส้มร่วงได้

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ สวนส้มทุ่งรังสิตยังได้รับผลกระทบจากปัญหาผลส้มร่วง แต่ไม่รุนแรงมากเหมือนในอดีต ก่อนหน้านี้ สำนักวิทยาศาสตร์ เพื่อการพัฒนาที่ดิน สังกัดกรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้วิเคราะห์สภาพดินสวนส้มในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี พบว่า เป็นดินเปรี้ยวมีความเป็นกรดสูง เมื่อมีการปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก ซึ่งมาจากการใช้ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยคอก น้ำเสีย และกากตะกอนน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและสารกำจัดศัตรูพืช ทำให้มีการสะสมและเคลื่อนที่ของโลหะหนักในดิน (แคดเมียม ทองแดง และสังกะสี) ที่เป็นกรดสามารถละลายและแตกตัวอยู่ในรูปอิออนมากกว่าดินที่มีสภาพเป็นกลาง

ในการศึกษาการสะสมของโลหะหนักในดินสวนส้ม อายุ 3 ปี 6 ปี และ 9 ปี ระดับความลึก 0-30 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่มีรากพืชหนาแน่นที่สุด และรากพืชดูดซับธาตุต่างๆ จากดิน พบว่า ค่าเฉลี่ยความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) ของดิน สวนส้มที่ระดับความลึก 0-30 เซนติเมตร อายุ 3 ปี และ 6 ปี มีค่าใกล้เคียงกัน คือ 4.9 และ 4.8 อายุ 9 ปี มีค่าสูงสุดคือ 5.5 และทุกช่วงอายุ มีค่า pH ลดลงตามระดับความลึกของดิน

ปริมาณทองแดงทั้งหมดในดินสวนส้ม อายุ 3 ปี 6 ปี และ 9 ปี มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีการใช้สารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ ซึ่งมีทองแดงเป็นส่วนประกอบ ในการกำจัดเชื้อราโดยพ่นต้นส้ม ปริมาณแคดเมียมในดินสวนส้ม มีปริมาณสูงกว่าระดับเกณฑ์มาตรฐาน การใส่ปูนนอกจากเป็นการปรับปรุงดินกรดแล้วยังช่วยในการแก้ปัญหาการปนเปื้อนของแคดเมียมในดินได้ด้วย

ผลวิจัยสรุปว่า ปริมาณแคดเมียม ทองแดง และสังกะสี ในดินสวนส้มทุ่งรังสิต มีการสะสมโลหะหนักเหล่านี้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะแคดเมียมและทองแดงที่มีระดับสูงเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม การจัดการดินที่ดี มุ่งยกระดับ pH ของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของต้นส้ม การเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ตลอดจนการให้ธาตุอาหารพืชที่เพียงพอแก่ต้นส้ม จะเป็นช่องทางสำคัญสำหรับช่วยลดค่าความเป็นพิษของโลหะหนัก แคดเมียม ทองแดง และสังกะสี ในสวนส้มให้ปรับตัวลดลงได้

Leave a comment