ชี้ช่องรวย ในสวนยางพารา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05042150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

รายงานพิเศษ “บึงกาฬโมเดล” ยุทธวิธีแก้ปัญหายางครบวงจรอย่างยั่งยืน

สาวบางแค 22

ชี้ช่องรวย ในสวนยางพารา

“งานวันยางพาราและกาชาดบึงกาฬ 2559” ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ มุ่งสร้างต้นเเบบเเนวคิดเเก้วิกฤตยางพารา โดยนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่หลากหลายมิติแล้ว จังหวัดบึงกาฬ และ อบจ. บึงกาฬ ยังได้จัดเวทีเสวนาเพื่อระดมสมองจากนักวิชาการ เกษตรกรคนเก่งเข้ามาแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเทคนิคลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างรายได้เพิ่มในสวนยางพารา เพื่อยกระดับความมั่นคงทางอาชีพและรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยางอย่างยั่งยืน

“กยท. หนุนปลูกยาง

แบบผสมผสาน เพิ่มรายได้”

คณะผู้จัดงานเปิดประเดิมเสวนาเวทีแรก โดยเชิญ คุณไกรสร นนทเกษม หัวหน้าสำนักผู้อำนวยการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มาพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหายางพารา ในหัวข้อ “สถานการณ์ราคายางในปัจจุบัน เกษตรกรจะอยู่รอดได้อย่างไร”

คุณไกรสร กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้ กยท. ช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ใน 2 รูปแบบ คือ

1. โครงการสร้างความเข้มแข็งให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง โดยจ่ายเงินชดเชยสนับสนุนให้เกษตรกร 1,500 บาท ต่อไร่ แต่ไม่เกิน 15 ไร่ ต่อครัวเรือน (1 ครัวเรือน 1 สิทธิ์)

2. โครงการส่งเสริมการใช้ยางภายในประเทศ ผ่าน 8 หน่วยงาน โดย กยท. เป็นผู้รับซื้อยาง จำนวน 100,000 ตัน จากเกษตรกร โดยเริ่มต้นโครงการตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยรับซื้อยางแผ่น ชั้น 3 ในราคา 45 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนยางประเภทอื่น ราคาจะลดหลั่นกันลงไป โดยมีกติกาว่า จะรับซื้อยางจากเกษตรกร รายละไม่เกิน 15 ไร่ เฉลี่ยไร่ละ 10 กิโลกรัม หากปลูกยาง 15 ไร่ จะขายยางได้ 150 กิโลกรัม หากใครมีพื้นที่ปลูกยางน้อย ก็มีโอกาสขายยางได้หลายครั้ง จนครบจำนวน 150 กิโลกรัม เชื่อว่าทั้ง 2 โครงการ จะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ในช่วงฤดูปิดกรีดยาง

เพื่อความอยู่รอด เกษตรกรชาวสวนยางต้องเร่งลดต้นทุนการผลิตยาง อย่าปลูกยางเป็นพืชเชิงเดี่ยว ต้องกระจายความเสี่ยงปลูกพืชหลายชนิดในพื้นที่ เช่น ปลูกพืชเสริม พืชแซมในสวนยาง รวมทั้งเลี้ยงสัตว์เพื่อให้มีรายได้เข้ากระเป๋าหลายทาง โดยภาครัฐสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการลงทุนแก่เกษตรกร ครัวเรือนละ 100,000 บาท ไม่เกิน 1 ล้านครัวเรือน ขณะนี้เกษตรกรแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการยังไม่ครบจำนวนที่กำหนด ยังมีช่องว่างให้เกษตรกรที่สนใจอาชีพเสริมในครัวเรือนสามารถยื่นใบสมัครได้

ขอแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนยางหันมาแปรรูปใบยางหรือดอกไม้จากใบยางออกขาย เพราะเป็นสินค้าที่ต้องการสูงในตลาดญี่ปุ่น ซึ่งกระบวนการแปรรูปใบยางไม่ยุ่งยาก ใช้เงินลงทุนน้อย สร้างบ่อหมักใบยาง นอกจากนี้ ใบยางยังสามารถมาแปรรูปในลักษณะดอกไม้จันทน์ ก็เป็นสินค้าที่ขายดี เป็นที่ต้องการของตลาดเช่นกัน

ยุคปลาเร็วกินปลาช้า…

เร่งปรับตัวให้อยู่รอด

คุณบัณฑิต หลิมสกุล เลขาธิการกรอบความร่วมมือเอเซีย (ACD) พูดคุยในเวทีเสวนา หัวข้อ “ยางพารา การพัฒนาอย่างยั่งยืนในบริบทของโลกไร้พรมเเดน” โดยกล่าวว่า สถานการณ์ยางในขณะนี้ มีกำลังผลิตมากกว่าความต้องการของตลาด ทั้งไทยและเพื่อนบ้านปลูกยางกันเยอะ แต่ว่าหลังปี 2560 ปริมาณความต้องการใช้ยางจะเพิ่มขึ้น ในอดีตเราคิดว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก เเต่ยุคนี้ปลาเร็วกินปลาที่ช้ากว่า ปลาตัวใหญ่ที่ช้าอุ้ยอ้าย อาจจะถูกปลาตัวเล็กกว่ากินได้ ดังนั้น ไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนเเปลงของตลาดโลก

ที่ผ่านมา ไทยเน้นส่งออกยางถึง 86 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเจอปัญหาราคายางผันผวนก็จะได้รับผลกระทบทันที ควรเร่งปรับปรุงตัวเอง โดยมองมาเลเซียเป็นตัวอย่าง จากเดิมเป็นผู้ผลิตยาง วันนี้เขายกฐานะเป็นผู้แปรรูปยาง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ไม่ว่ายางโลกจะตกลงหรือผันผวนเเค่ไหน ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศมาเลเซีย หากจะแข่งขันกับมาเลเซีย ควรผลิตสินค้าที่แตกต่างจากเขา เช่น หมอนยางพารา ที่นอนยางพารา ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ คนจีนที่มาเที่ยวไทยซื้อหมอนยาง ที่นอนยางพารากลับบ้านไปเยอะมาก เพราะมีคุณภาพดีกว่าเเละราคาถูก นโยบายจีนเปลี่ยนแล้ว จากเดิมมีลูกคนเดียว ก็เปิดโอกาสให้มีลูกเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ตลาดจีนจะมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น

เช่นเดียวกับ ประเทศอินเดีย ที่เศรษฐกิจดีขึ้น นโยบายรถทำให้อินเดียมีปริมาณความต้องการใช้ยางพาราเพิ่มมากขึ้น เป็นตลาดใหม่ที่มีลู่ทางเติบโตสดใส ในอนาคตคาดว่า เวียดนาม จะเป็นคู่แข่งขันสำคัญบนเวทีตลาดโลกเพราะเวียดนามเร่งปรับตัวเรียนรู้ผลิตเทคโนโลยีด้านยางจากฝรั่งเศสและนำเข้าเทคโนโลยีการผลิตยางแท่งจากมาเลเซีย ทำให้ยางเวียดนามมีคุณภาพดี

“เทคนิคการปลูกสับปะรดในสวนยาง”

เกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดบึงกาฬได้มีโอกาสเรียนรู้ “เทคนิคการปลูกสับปะรดในสวนยาง” จาก คุณเสถียร ซื่อตรง เกษตรกรจังหวัดนครพนม โดยก่อนหน้านี้คุณเสถียรเคยปลูกมะม่วง มะขามหวาน มาก่อน แต่มีรายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย วันหนึ่งเขามีโอกาสไปเรียนรู้เรื่องการปลูกสับปะรดในสวนยางจากเพื่อนเกษตรกรในท้องถิ่น

คุณเสถียร เริ่มต้นปลูกสับปะรด ตั้งแต่ 2551 โดยส่งตัวอย่างดินให้สำนักงานพัฒนาที่ดินจังหวัดนครพนมตรวจสอบว่า มีสภาพดินเหมาะสมกับการปลูกสับปะรดหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า ดินนครพนมมีสภาพเหมาะสมสำหรับปลูกสับปะรด เพราะมีดินร่วนปนทราย 30% ดินร่วน 20% เมื่อปลูกแล้ว จะได้เนื้อสับปะรดที่มีรสหวาน ซึ่งจังหวัดบึงกาฬ อุบลราชธานี มีชุดดินคุณภาพเดียวกับจังหวัดนครพนม สามารถปลูกสับปะรดได้อย่างสบาย

หากใครสนใจปลูกสับปะรด ควรเลือกทำเลพื้นที่ที่มีสภาพลาดเอียง ระบายน้ำได้ดี เพราะสับปะรดเป็นพืชที่ไม่ชอบน้ำ ประการต่อมา ต้องคัดเลือกสับปะรดพันธุ์ดีมาปลูก หลังไถพรวนดินเสร็จ คุณเสถียรได้นำหน่อพันธุ์สับปะรดปัตตาเวียมาปลูกแซมในสวนยาง โดยปลูกในระยะห่าง ประมาณ 30 เซนติเมตร บำรุงด้วยปุ๋ย สูตร 15-15-15 ใส่ปีละ 1 ครั้ง เติมปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ใส่ทุกๆ 2 เดือน หากใช้หน่อ ปลูกดูแล 8-9 เดือน ก็มีผลผลิตออกขาย แต่หากนำจุกสับปะรดมาปลูก ต้องใช้เวลานานกว่าประมาณ 11 เดือน จึงเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายได้

การผลิตสับปะรดนอกฤดู เกษตรกรโดยทั่วไปนิยมใช้วิธีหยอดฮอร์โมน ซึ่งมีราคาแพง แต่คุณเสถียรมีเทคนิคส่วนตัวที่ได้ผลดีคือ ใช้ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) และปุ๋ย สูตร 25-5-5 ผสมน้ำ 200 ลิตร ใช้กระป๋องปลากระป๋องเปล่าตักส่วนผสมที่เตรียมไว้หยอดข้างต้นสับปะรด รอไปอีกประมาณ 45-60 วัน ก็จะได้ผลผลิตสับปะรดตามที่ต้องการ การเก็บเกี่ยวผลผลิตทำได้ง่าย หากพบว่าผลสับปะรดเริ่มมีสีเหลือง ประมาณ 3 แถว ก็แสดงว่าเนื้อสุกแล้ว พร้อมเก็บเกี่ยวได้

การปลูกสับปะรดในสวนยาง นอกจากเกษตรกรมีผลสับปะรดสด น้ำหนักเฉลี่ย ลูกละ 1.5-4 กิโลกรัม ออกขายแล้ว ยังสามารถขายหน่อพันธุ์สับปะรดให้ผู้สนใจนำไปปลูกขยายพันธุ์ต่อได้อีก หากช่วงไหนมีผลผลิตเหลือจากการจำหน่าย ก็นำไปแปรรูปเป็นสับปะรดกวนได้อีก หากสามารถรวมกลุ่มผู้ปลูกสับปะรดในท้องถิ่นได้ ก็จะมีโอกาสกำหนดราคาขายได้สูงขึ้น

โค่นยางเก่า

แก้วิกฤตราคายาง

ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ทำให้เกษตรกรต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า รัฐบาลพยายามเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาง โดยลดพื้นที่ปลูกยาง เพื่อสงเคราะห์ปลูกแทน โดยทั่วไปการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จะสนับสนุนให้มีการโค่นต้นยางเก่าที่ให้ผลผลิตต่ำ ปีละ 200,000 ไร่ ก็ปรับจำนวนสงเคราะห์ปลูกใหม่เป็น 400,000 ไร่ ทำให้มีไม้ยางป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมไม้ยางพาราเพิ่มมากขึ้นในปี 2559

ไม้ยางพารา ถือว่าเป็นโบนัสก้อนพิเศษที่เกษตรกรจะได้รับหลังจากหยุดกรีดน้ำยางแล้ว ในช่วงที่น้ำยางมีราคาดีเกษตรกรยังไม่อยากขาย ทำให้ไม้ยางพาราค่อนข้างขาดแคลนและมีราคาสูง ขณะนี้ไม้ยางพาราเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมทำไม้แปรรูปมาก เนื่องจากไม้อย่างอื่นไม่สามารถตัดนำมาใช้ได้เพราะฉะนั้นไม้ยางพารามีมากเท่าไร โรงงานก็รับซื้อทั้งหมด ซึ่งเป็นผลดีแก่ชาวสวนยาง

คุณเกษตร แนบสนิท ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย ศูนย์วิจัยยางหนองคาย สถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มาร่วมพูดคุย ในหัวข้อ “เทคนิคการตัดไม้ยางพาราเพื่อการค้าและการแปรรูป” โดยกล่าวว่า เกษตรกรควรเรียนรู้ประมาณราคาไม้ยางได้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงป้องกันการกดราคาซื้อจากพ่อค้าหรือนายหน้าที่มาซื้อไม้ยาง ก่อนอื่นเกษตรกรควรรู้ว่า ไม้ยางพาราแต่ละสวนมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทั้งเชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ และเชิงการบริหารจัดการ ทำให้ราคาไม้ยางในสวนยางพาราแต่ละสวนมีราคาแตกต่างกัน

โดยทั่วไป พ่อค้าจะตีราคาไม้ยาง โดยคำนวณจากจำนวนไม้ยางที่ปลูก เฉลี่ย 70 ต้น ต่อไร่ หากต้นยางตายมาก เหลือไม่ถึง 50 ต้น ต่อไร่ การตีราคาต่อไร่ก็จะต่ำลง นอกจากนี้ น้ำหนักไม้ยาง ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้เกษตรกรขายไม้ได้ราคาสูงหรือต่ำ โดยอาศัยการคำนวณน้ำหนักไม้ยางจากพันธุ์ยาง ลักษณะดินและขนาดต้นยาง เช่น ต้นยางขนาดเดียวกันแต่คนละพันธุ์ มีน้ำหนักไม่เท่ากัน เช่น ยางพื้นเมือง (ยางบ้าน) พันธุ์ GT1 มีน้ำหนักมากที่สุด รองลงมาคือ ยางพันธุ์ GT1 และ RRIM600 เบาที่สุด เพราะพันธุ์ยางที่ให้ปริมาณน้ำยางยิ่งมาก จะทำให้น้ำหนักไม้ยิ่งเบา

ขณะเดียวกัน ไม้ยางที่ปลูกในดินเหนียวจะมีน้ำหนักสูงกว่าไม้ยางในดินทราย (ขนาดต้นเท่ากัน) ซึ่งพ่อค้าส่วนใหญ่นิยมคิดคำนวณราคาไม้ยางจากขนาดต้นยางเป็นหลัก เพราะเห็นเด่นชัดที่สุดและบ่งบอกถึงน้ำหนักไม้ยาง หากเจ้าของสวนยางรายใดใส่ใจดูแลรักษาสวนยางให้ถูกต้องตั้งแต่ปลูกจนถึงโค่น เช่น ปลูกในระยะที่เหมาะสม ตัดแต่งกิ่งถูกต้อง มีการกำจัดวัชพืชที่ดี ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นยางอย่างเพียงพอ เปิดกรีดยางอย่างถูกต้อง และแรงงานกรีดมีฝีมือ ก็จะช่วยให้ไม้ยางมีคุณภาพสูง ขายได้ราคาดี

การซื้อขายไม้ยาง เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำสัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เพื่อให้เกิดความสบายใจทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากที่ผ่านมาเกษตรกรจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาพ่อค้ายางทำสัญญาจ่ายเงินมัดจำไว้ แล้วไม่ยอมมาโค่น ยื้อเวลาจนเจ้าของสวนเดือดร้อน เลยระยะเวลาปลูกใหม่ เกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหา ในสัญญาต้องระบุให้ชัดว่า จ่ายเงินมัดจำเท่าไหร่ และกำหนดวันโค่นให้ชัดเจน หากไม่โค่นภายในเวลาที่กำหนด จะทำอย่างไร เช่น ยกเลิกสัญญา เป็นต้น

ไม้ยางที่ได้ขนาด หรือ “ไม้เกรด” ปัจจุบันขายได้ตันละประมาณ 2,000-3,000 บาท ส่วนไม้ตกเกรด หรือไม้ฟืน มีราคาต่ำ เฉลี่ยตันละประมาณ 500-700 บาท พ่อค้าจะไม่เพิ่มราคารับซื้อสำหรับไม้ตกเกรด ส่วนไม้เกรดของโรงงาน คือไม้ยางที่ตัดเป็นท่อนแล้ว วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ตั้งแต่ 6 นิ้ว ขึ้นไป ซึ่งสามารถนำไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้ ส่วนไม้ตกเกรด ที่ขนาดไม่ถึง 6 นิ้ว จะนำไปทำไม้ลัง พาเลต และไม้อัด ฯลฯ

หากวิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกรแห่งใดประสงค์จัดตั้งโรงเลื่อยชุมชน เพื่อแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มไม้ยางพาราในท้องถิ่น จะต้องยื่นขอใบอนุญาตจากกรมป่าไม้เสียก่อน เนื่องจากโรงเลื่อยชุมชนจำเป็นต้องใช้ใบเลื่อยที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกินกว่า 12 นิ้ว การลงทุนทำโรงเลื่อยชุมชน ต้องคำนวณปริมาณวัตถุดิบไม้ยางพาราในท้องถิ่นว่า มีปริมาณมากเพียงพอสำหรับป้อนโรงเลื่อยแห่งนี้ได้ทุกวันหรือไม่ หากยังมีปริมาณไม้ยางไม่มากพอ ก็ต้องทำข้อตกลงกับพื้นที่ข้างเคียงให้จัดหาไม้ยางส่งขายโรงเลื่อยชุมชน

สำหรับพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) มีสวนป่า จำนวน 3 แห่ง คือ สวนป่าบึงกาฬ สวนป่าเซกา สวนป่าโซ่พิสัย ปัจจุบัน ออป. มีกิจการโรงเลื่อยเป็นของตัวเอง เกษตรกรสามารถขอคำแนะนำความรู้เรื่องโรงเลื่อย จาก ออป. ได้โดยตรง เช่น การจัดตั้งโรงเลื่อย เทคนิคการเลื่อยไม้ การบริหารจัดการตลาด การแสวงหาวัตถุดิบป้อนโรงงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงเลื่อยไม้ การดูแลจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

เทคนิคการปลูก

ลิ้นจี่ ในสวนยาง

คุณสวัสดิ์ ภาษา ผู้บุกเบิกปลูกลิ้นจี่ นพ.1 อันเลื่องชื่อของจังหวัดนครพนม มาแนะนำให้เกษตรกรชาวสวนยางหันมาปลูกลิ้นจี่ นพ.1 ในสวนยาง เนื่องจากลิ้นจี่ชนิดนี้เป็นสายพันธุ์เบา ให้ผลผลิตช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ของทุกปี นับว่าให้ผลผลิตเข้าสู่ตลาดเร็วกว่าพันธุ์ฮงฮวยและพันธุ์จักรพรรดิ ที่นิยมปลูกในภาคเหนือ ที่สำคัญลิ้นจี่พันธุ์นี้ติดผลง่าย ไม่ต้องรอให้อากาศหนาวจัด มีรสชาติหวานอร่อย เนื้อแห้ง ขายได้ราคาถึงกิโลกรัมละ 100 บาท เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ยังมีความต้องการเพิ่มอีกจำนวนมาก

ต้นลิ้นจี่ นพ. 1 ปลูกดูแลง่าย โดยให้น้ำต้นลิ้นจี่สัปดาห์ละครั้ง เมื่อต้นลิ้นจี่ติดดอกได้ 40-50 เปอร์เซ็นต์ จึงเพิ่มปริมาณน้ำให้มากขึ้น หลังให้น้ำครั้งแรก ควรพักการให้น้ำระยะหนึ่งก่อน รอจนกิ่งที่ติดผลคล้อยลงต่ำ จึงเริ่มให้น้ำอีกครั้ง และให้ปุ๋ยบำรุงต้น สูตร 8-24-24 หรือ 13-21-21 ประมาณ 1 กำมือ หว่านรอบต้นลิ้นจี่ ห่างจากโคนต้นประมาณ 1 เมตร

ปัจจุบัน ต้นลิ้นจี่ที่ปลูกในสวนคุณสวัสดิ์มีอายุ 18 ปี แต่ยังให้ผลผลิตดี เพราะหลังเก็บเกี่ยวทุกครั้ง จะตัดแต่งกิ่งและทรงพุ่มให้ได้ขนาด เรียกว่าเป็นขั้นตอน “การทำสาวต้นลิ้นจี่” ทุกครั้งเพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี จำนวนมากตามที่ต้องการ

ปัจจุบัน สวนลิ้นจี่ของคุณสวัสดิ์มีคุณภาพดี จึงขายส่งเข้าตลาดห้างสรรพสินค้าท็อปส์ แม็คโคร และป้อนตลาดส่งออก ส่วนสินค้าตกเกรดจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังมีรายได้ก้อนโตจากการจำหน่ายกิ่งตอนให้แก่เกษตรกรที่สนใจนำไปปลูกขยายพันธุ์ ในราคา ต้นละ 100-200 บาท ตามขนาดของลำต้น หากใครสนใจอยากได้กิ่งพันธุ์ลิ้นจี่ นพ. 1 ไปทดลองปลูก สามารถติดต่อสั่งซื้อได้ที่ คุณสวัสดิ์ ภาษา โทร. (081) 320-6447 หรือบุตรสาว (081) 058-9664 (คุณต่าย)

เลี้ยง ไก่ดำ หมูดำ

วัวดำ รายได้ดี

น.สพ. วิศุทธิ์ เอื้อกิ่งเพชร นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้างานศึกษาและพัฒนาด้านปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาและพัฒนาโครงการตามพระราชดำริ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร มาชวนเกษตรกรชาวสวนยางให้ทดลองเลี้ยงไก่ดำ หมูดำ วัวดำ สัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่เลี้ยงง่าย กินอาหารท้องถิ่นได้ เลี้ยงแล้วไม่ขาดทุน ขายได้กำไร

ทุกวันนี้เกษตรกรหันมาเลี้ยงไก่ดำกันมาก เพราะสร้างรายได้ดีกว่าการเลี้ยงวัว ไข่ไก่ดำภูพาน ฟักขายในราคาฟองละ 50 บาท แล้ว ใช้เวลาเลี้ยง 4-5 เดือน ก็ขายได้ หากเลี้ยงเป็นไก่ใหญ่ ขายได้ราคาตัวละ 250 บาท ราคาเนื้อไก่ดำซื้อขายที่กิโลกรัมละ 180 บาท สร้างอาชีพและรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรจำนวนมาก ตั้งแต่ ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ตอนนี้มีผู้ซื้อจากเวียดนามติดต่อขอซื้อไก่ดำจำนวนมากจากไทย เพราะคนเวียดนามมีความเชื่อเรื่องการบริโภคไก่ดำเป็นยาบำรุงร่างกายเช่นกัน

ไก่ดำภูพาน มีต้นทุนการเลี้ยงที่ต่ำมาก เลี้ยงง่ายเหมือนกับไก่บ้านทั่วไป ใช้เวลาเลี้ยงไม่นาน การเลี้ยงไก่ดำ ใครๆ ก็เลี้ยงได้ แค่ดูแลให้น้ำสะอาด ให้อาหาร คือปลายข้าวหรือข้าวเปลือก และให้อาหารผสมทุกเช้า-เย็น เช่น ปลายข้าว รำข้าว ปลาป่น ข้าวโพดป่น ข้าวเปลือก กากถั่ว กากมะพร้าว หัวอาหารไก่สำเร็จรูปชนิดเม็ด พร้อมคอยเปลี่ยนน้ำทุกวัน ช่วยให้ไก่เจริญเติบโตเร็ว

ไก่ดำภูพาน มีความเสี่ยงในเรื่องโรคเช่นเดียวกับพันธุ์ไก่ทั่วไป เช่น โรคนิวคาสเซิล โรคหลอดลมอักเสบ ฯลฯ จึงต้องดูแลฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ แนะนำเรื่องการใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจรในทุกช่วงของการเลี้ยงไก่ดำ โดยผสมกับอาหารที่ใช้เลี้ยงไก่ดำ จะช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคท้องเสียได้เป็นอย่างดี

หมูดำ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สุกรภูพาน 1” ที่มีลักษณะเลี้ยงง่าย โตเร็ว ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทนทานต่อโรค ให้ลูกดก เลี้ยงลูกเก่ง เลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี หากินเก่ง แข็งแรง เนื้อมันมีน้อย ตรงกับความต้องการของเกษตรกรและตลาด

น.สพ. วิศุทธิ์ แนะนำให้เกษตรกรชาวสวนยางนำหมูดำมาเลี้ยงแบบปล่อยอิสระในสวนยาง เพื่อเป็นรายได้เสริม โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนการเลี้ยงอะไรมาก เพราะหมูดำสามารถกินต้นหญ้าและลูกยางในสวนยางเป็นอาหารได้ เนื่องจากมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า ลูกยางพารา มีคุณประโยชน์สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ และได้ผลพลอยได้คือ มูลหมู เป็นปุ๋ยคอกช่วยบำรุงต้นยาง นอกจากนี้ หมูดำยังเป็นแหล่งอาหารโปรตีนราคาถูกสำหรับบริโภคในครัวเรือนเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง

วัวดำ (ทาจิมะภูพาน) ถูกเลี้ยงในสไตล์อีสาน ใช้เหล้าสาโทเลี้ยงวัวดำแทนการใช้เบียร์ เพื่อพัฒนาระบบกล้ามเนื้อและโลหิต พร้อมเปิดเพลงหมอลำกล่อมแทนเพลงคลาสสิกแบบญี่ปุ่นที่ใช้เลี้ยงวัวดำ ส่วนอาหารใช้ฟางข้าวและสูตรอาหารข้นที่กรมปศุสัตว์คิดค้นขึ้นมาแทน ปรากฏว่า การเลี้ยงวัวดำสไตล์อีสานประยุกต์ ได้คุณภาพเนื้อ ทัดเทียมกับวัวดำของญี่ปุ่น เมื่อส่งวัวดำไปสหกรณ์โคเนื้อโพนยางคำชำแหละ ปรากฏว่า เนื้อวัวสไตล์อีสานของเรามีคุณภาพเนื้อสูงกว่าวัวเนื้อทุกสายพันธุ์ที่เลี้ยงในไทย

น.สพ. วิศุทธิ์ บอกว่า ทุกวันนี้ ต้นทุนการเลี้ยงวัวดำไม่สูง คนที่เคยเลี้ยงวัวขุน สามารถใช้ความรู้ดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เลี้ยงวัวดำพันธุ์นี้ได้เลย ดูแลฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของกรมปศุสัตว์เป็นระยะ ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นแนะนำเคล็ดลับการเลี้ยงวัวดำวากิว มี 2 ประการ คือ อาหารและสายพันธุ์ ซึ่งทางกรมปศุสัตว์ได้พัฒนามาครบแล้วทุกด้าน

ตอนนี้ เกษตรกรคนไทยทุกรายสามารถยื่นขอน้ำเชื้อวัวดำภูพานได้ฟรี ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ น้ำเชื้อวัวดำภูพานสามารถนำไปผสมกับวัวได้ทุกสายพันธุ์ หากนำน้ำเชื้อวัวดำภูพานไปผสมกับวัวพันธุ์ชาร์โรเล่ส์ จะสามารถพัฒนาคุณภาพเนื้อได้เพิ่มขึ้น 0.5-1 เกรด จะได้มัดกล้ามเนื้อก้อนใหญ่ ซึ่งตลาดยุโรป ที่นิยมบริโภคสเต๊กเนื้อวัวลักษณะนี้มาก ปัจจุบัน เนื้อวัวดำภูพานเป็นที่ต้องของร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ที่ต้องการใช้เนื้อสำหรับเมนูอาหารประเภทปิ้ง ย่าง

หากใครมีสวนยางอยู่แล้ว ก็สามารถนำวัวมาเลี้ยงได้ในสวนยาง หากประสงค์เลี้ยงแบบง่ายๆ ใช้เวลา 8 เดือน เลี้ยงวัวออกขายได้ก็มีกำไรแน่ๆ หากใครมีสายป่านทางการเงินยาว ใช้เวลาเลี้ยงอีก 18 เดือน เพื่อผลิตเป็นวัวขุนคุณภาพดีทัดเทียมของญี่ปุ่น ก็จะได้ผลกำไรอีกทวีคูณ

ด้านตลาด ไม่ต้องกลัวว่าเลี้ยงวัวดำแล้วจะขายไม่ได้ เพราะสหกรณ์โคเนื้อโพนยางคำ สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคขุนนางแก จังหวัดนครพนม สหกรณ์หนองสูง จำกัด จังหวัดมุกดาหาร ประกาศรับซื้อเนื้อวัวดำภูพานไม่อั้น เพราะขายดีมาก จนผลิตไม่ทันกับความต้องการของตลาด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยตรงที่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โทร. (042) 477-470 ในวันและเวลาราชการ

ไก่งวง เลี้ยงง่าย ขายดี

คุณเชษฐา กัญญะพงศ์ โทร. (085) 014-9679 ประธานชมรมไก่งวงจังหวัดนครพนม และผู้นำกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงไก่งวงบ้านคำเกิ้ม จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบการเลี้ยงไก่งวงแบบครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงไก่งวงให้ประสบความสำเร็จ

ไก่งวง กินหญ้าเป็นอาหารถึงร้อยละ 70 ในแต่ละวัน หากนำไก่งวงไปปล่อยเลี้ยงในสวนยางพารา นับเป็นความคิดที่ดี เพราะจะช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางประหยัดต้นทุนค่าสารเคมีกำจัดวัชพืช แถมสารเคมียังสร้างปัญหาทำให้ดินเสีย ดินแน่น ขณะเดียวกันมูลไก่งวงยังเป็นปุ๋ยคอกช่วยบำรุงดินในสวนยางอีกต่างหาก ช่วยปรับสภาพดินในสวนยางได้อย่างยั่งยืน แถมช่วยกำจัดวัชพืชโดยใช้ต้นทุนต่ำอีกด้วย

หากมีพื้นที่ปลูกยาง 10 ไร่ ควรเลี้ยงไก่งวง สัก 50 ตัว ตอนแรกก็ใช้ตาข่ายตีวงกินหญ้าของไก่งวงเสียก่อน เมื่อหญ้าถูกกินเรียบ ก็ค่อยๆ ย้ายพื้นที่เลี้ยงไก่งวงออกไป กลางวันก็ปล่อยให้ไก่งวงหากินในแปลงสวนยาง ตอนกลางคืน ก็ให้พักในโรงเรือนยกพื้นสูง มีฉากบังลม มีรั้วรอบขอบชิด เพื่อป้องกันสุนัข งู และพังพอน

หากแปลงไหนมีต้นหญ้าสูงใหญ่เต็มแปลง ไก่งวงจะค่อยๆ กัดกินใบหญ้าทีละใบ จนเหี้ยนเตียนหมดภายใน 3 เดือน หลังจากถอนหญ้าให้หมด ไก่งวงก็จะใส่ปุ๋ยให้กลับคืนสู่ผืนดิน สุดท้าย เกษตรกรจะขายเนื้อไก่งวงได้ในราคาที่ดี หากไม่มีแหล่งหญ้าให้ไก่งวงกิน ก็จำเป็นต้องปลูกหญ้าเนเปียร์ เพราะมีสารอาหารสูงมาก ช่วยให้ไก่งวงมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดี การปลูกหญ้าเนเปียร์ทำได้ไม่ยาก แค่เรียงเป็นแถว ไม่ต้องกลบดินก็ได้ หญ้าเนเปียร์ก็สามารถเติบโตได้ดี ไก่งวงแต่ละรุ่นจะมีลักษณะการกินอยู่ไม่เหมือนกัน ผู้เลี้ยงต้องคอยศึกษาพฤติกรรมการกินอยู่ของไก่งวงอย่างใกล้ชิด

หากใครสนใจอยากเลี้ยงไก่งวง ให้เริ่มจากวางแผนก่อนว่า อยากจะเลี้ยงในช่วงไหน คุณเชษฐา แนะนำให้เริ่มจากการเลี้ยงไก่งวงพ่อแม่พันธุ์ก่อน เพื่อศึกษาธรรมชาติการกินอยู่ของไก่งวงเสียก่อน วิธีนี้จะเรียนรู้ชีวิตไก่งวงได้ดีกว่าการซื้อลูกไก่งวงมาเลี้ยง แค่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ไม่ถึงเดือน ก็ออกไข่แล้ว สมมติว่าอยากได้ลูกไก่งวงเดือนธันวาคม ช่วงเดือนตุลาคม ก็เริ่มซื้อพ่อแม่พันธุ์ไก่งวงมาเลี้ยงรอล่วงหน้า 3 เดือน เพราะหลังจากออกไข่ ต้องใช้เวลาฟักไข่อีก 1 เดือน

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงไก่งวงบ้านคำเกิ้มมีบทบาทเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ราคาไก่งวงที่ทางกลุ่มรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร ในราคา 140 บาท ต่อกิโลกรัม และจำหน่ายสินค้าเข้าสู่ตลาด ในราคาขายที่กิโลกรัมละ 140 บาท ส่วนราคาขายปลีกไก่งวงของทางกลุ่มมีหลายระดับราคา ตั้งแต่กิโลกรัมละ 150 -200 บาท โดยทั่วไป ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ขอบคุณพระเจ้า ราคาซื้อขายไก่งวงจะค่อนข้างสูง ประมาณกิโลกรัมละ 250 บาท

ทำสวนผลไม้ในสวนยาง

ไม่ยาก อย่างที่คิด

คุณวาสนา บุญคำ เกษตรกรตัวอย่างในพื้นที่อำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ มาร่วมพูดคุยถึงความสำเร็จจากการทำสวนผลไม้ในสวนยางของเขาว่า เกิดวิกฤตยางราคาถูก ก็พยายามปรับตัวสู้ปัญหา โดยหยุดลงทุนทำสวนยาง นำพื้นที่ว่าง 30 ไร่ มาทดลองปลูกไม้ผล เช่น เงาะ จำนวน 300 ต้น ทุเรียน 30 ต้น ลองกอง 35 ต้น มังคุด 40 ต้น สะตอ 10 ต้น

ก่อนปลูกไม้ผล ควรสำรวจทำเลที่ตั้งว่า พร้อมสำหรับทำสวนผลไม้หรือไม่ พื้นที่ที่ไม่เหมาะสมคือ มีทำเลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่สูงและมีหินดานมาก หากเป็นดินลูกรังขนาดเล็กๆ ยังพอสู้ไหว เช็กแหล่งน้ำว่าเพียงพอสำหรับเพาะปลูกหรือไม่ หากเก็บกักน้ำไม่อยู่ ก็คงปลูกไม้ผลไม่ได้ ปัจจุบัน กรมพัฒนาที่ดิน ให้งบฯ สนับสนุนขุดบ่อ ขนาด 1 ไร่ ประจำไร่นา สามารถติดต่อขอรับการสนับสนุนเรื่องการขุดบ่อได้ โดยประสานงานกับหมอดินอาสาในท้องถิ่นของท่าน เมื่อขุดบ่อเสร็จ ให้ทดลองปลูกไม้ผลสัก 2-3 ไร่ ก่อน ปลูกจากน้อยไปหามาก ค่อยๆ เรียนรู้ไป เพื่อลดอัตราเสี่ยงในการลงทุน

เมื่อวางแผนปลูกไม้ผล ต้องเริ่มจากไถพรวน และตากดินให้แห้ง หว่านปูนโดโลไมท์ เพื่อเพิ่มแคลเซียมและฆ่าเชื้อราในเนื้อดิน หว่านเสร็จก็ไถกลบอีกครั้งหนึ่ง และใส่ปุ๋ยรองพื้น ได้แก่ ปูนขาว 1 กำมือ ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต 1 กำมือ ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 และปุ๋ยยูเรีย ในอัตรา 3 : 1 คลุกเคล้าผสมกันจนได้ที่ จนค่อยนำไม้ผลที่เตรียมไว้มาปลูก สำหรับ ต้นเงาะ ปลูกในระยะห่าง 8×8 เมตร มังคุด ปลูกในระยะห่าง 50×50 เมตร เมื่อนำต้นไม้ลงหลุมเอาหน้าดินที่ขุดไว้ตอนแรกกลบลงหลุมให้มีความหนาสัก 2 นิ้ว ตามด้วยดินชั้นใน (ที่ขุดขึ้นมา) กลบตามอีกครั้ง เหยียบดินให้แน่นเพื่อไม่ให้อากาศเข้าไปได้

เนื่องจากธรรมชาติของต้นสะตอ เป็นไม้ใหญ่ อาจบังแสงแดดในสวนผลไม้ได้ จึงนำมาปลูกแยก ปลูกห่างจากไม้ผล ประมาณ 20 เมตร เพราะต้นเงาะเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดมาก โดยทั่วไปต้นเงาะและมังคุดเป็นพืชที่พึ่งพาอาศัยกัน สามารถปลูกแซมกันไปได้ ต้นเงาะที่ปลูกได้ 5 ปี จะเริ่มผลิดอก ก็เริ่มขึ้นน้ำให้ต้นเงาะทันที โดยใช้เครื่องคูโบต้า ปั่นน้ำขึ้นมาตามท่อ พีวีซี พื้นที่ 30 ไร่ โดยปล่อยการให้น้ำเป็นโซน เริ่มขึ้นน้ำตั้งแต่เวลา 07.00-15.00 น. ก็เสร็จแล้ว จะใช้วิธีการขึ้นน้ำทุกๆ 7 วัน

เงาะ อำเภอปากคาด มีรสชาติอร่อยกว่าเงาะที่ปลูกในพื้นที่ภาคตะวันออก เพราะเนื้อเงาะแห้ง ลูกใหญ่ สดกว่าเงาะจันทบุรี ที่สำคัญมีรสหวาน กรอบ ผลดกมาก ขนาดต้องใช้ไม้ไผ่ค้ำต้นเงาะทุกกิ่ง เวลาผลผลิตออก แทบจะไม่เห็นใบเงาะเลย เห็นแต่ลูกเงาะเต็มต้นไปหมด เงาะปากคาดส่งไปขายในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุดรธานี ทั้งนี้ เงาะปากคาด ขายได้กิโลกรัมละ 20 บาท เงาะจันทบุรี ขายได้แค่กิโลกรัมละ 12-15 บาท

เมื่อถึงหน้าผลไม้ ทุเรียนจะให้ผลผลิตก่อน ที่นี่ปลูกทุเรียน 2 สายพันธุ์ คือ หมอนทอง และพันธุ์ชะนี มีจุดเด่นในเรื่องรสหวาน อร่อย ที่นี่เน้นใช้สมุนไพร เช่น ต้นสาบเสือ บอระเพ็ด ตะไคร้ ขิง ข่า ฯลฯ และกากน้ำตาล นำมาหมัก 7 วัน ตามสูตรของกรมพัฒนาที่ดิน จนได้ปุ๋ยน้ำหมักสารชีวภาพ โดยนำมาผสมเจือจางกับน้ำ ในอัตรา 1 : 5 ฉีดพ่นเพื่อเพิ่มความหวานและป้องกันแมลงในสวนผลไม้

หมดฤดูทุเรียน ก็จะเจอกับเงาะ ทุกวันนี้สามารถฉีดพ่นฮอร์โมนเพื่อบังคับให้ต้นเงาะมีผลผลิตพร้อมกันทั้ง 30 ไร่ สามารถเก็บผลผลิตออกขายได้วันละ 5-6 คันรถ หมดหน้าเงาะก็เจอมังคุดกับลำไยสุกในระยะเวลาใกล้เคียงกัน สามารถเก็บมังคุดได้วันละ 2 ตะกร้า ประมาณ 24-25 กิโลกรัม ต่อวัน หลังจากนั้น ก็เก็บหวาย จำนวน 3 ไร่ ที่ปลูกแซมตามร่องเงาะและมังคุดออกขาย โดยทั่วไป หน่อหวาย จำนวน 4-5 หน่อ ขายได้ในราคา 20 บาท

นอกจากนี้ ยังมีต้นผักหวานป่าให้เก็บขาย ผักหวานป่า เป็นพืชที่ใจเสาะมาก หากใส่ปุ๋ย ต้นผักหวานก็จะตาย ผักหวานต้องปลูกตามธรรมชาติ เก็บเมล็ดผักหวานมาตากแดดตามธรรมชาติ ช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน -พฤษภาคม นำเมล็ดผักหวานมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ

อีกด้านหนึ่งของสวนก็ปลูก ต้นแก้วมังกร ปลูกไม่ยาก เลือกปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร โดยเลือกปลูกแก้วมังกรพันธุ์เวียดนามที่มีเนื้อสีชมพู รสหวาน ลูกโต หมดฤดูแก้วมังกร ก็ขายกล้วยน้ำว้าที่ปลูกอยู่ริมขอบบ่อน้ำ เนื้อที่ 9 ไร่ และในบ่อก็เลี้ยงปลาที่กินพืช เพื่อประหยัดค่าหัวอาหาร โดยปลาที่เลี้ยง ได้แก่ ปลานิล ปลาหมอ ปลาจีน ปลายี่สก ฯลฯ ปลาที่จับออกขายได้มีเนื้อแน่น รสชาติอร่อย เพราะไม่ใช้หัวอาหารเลี้ยงปลา ข้อควรระวังคือ เวลาหน้าฝน จะต้องมีระบบป้องกันน้ำที่ดี ระวังอย่าให้น้ำจากแหล่งอื่นที่ปะปนสารเคมีฆ่าหญ้าไหลเข้าบ่อ เพราะจะทำให้ปลาตาย

นอกจากนี้ ยังปลูกไผ่เลี้ยง เนื้อที่ 2 ไร่ ขายหน่อที่ต้มแล้ว จำนวน 4 หน่อ ในราคา 20 บาท นอกจากขายหน่อแล้ว ยังอาศัยต้นไผ่นำมาใช้ค้ำต้นเงาะ ประหยัด ไม่ต้องซื้อหากิ่งไม้ไผ่จากภายนอก ทุกวันนี้ ยังเปิดกรีดยาง จำนวน 200 ไร่ ทุกวัน และมีรายได้เสริมจากการปลูกไม้ผลผสมผสาน 30 ไร่ โดยนำผลผลิตที่มีอยู่วางขายหน้าบ้าน ก็มีรายได้เข้ากระเป๋าทุกวัน หากเงาะขายได้ ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท หลังหักต้นทุนค่าใช้จ่ายแล้ว จะมีรายได้เหลือเก็บ ประมาณ 300,000-400,000 บาท ต่อปี

หากยางราคาดี ก็สามารถปลูกต้นยางพันธุ์ 251 แซมในสวนผลไม้ได้ เนื่องจากยางเป็นพืชที่โตเร็ว หากินเก่ง เมื่อเก็บผลผลิตเงาะ ตัดแต่งกิ่งเงาะเสร็จ ก็นำต้นยางมาปลูกแซมในสวนได้เลย ต้นยางส่วนใหญ่มักหากินปุ๋ยใต้ต้นเงาะ ซึ่งต้นเงาะก็ขึ้นน้ำทุกๆ 7 วัน อยู่แล้ว จะช่วยต้นยางแทบจะไม่มีอาการใบร่วงเลย เพราะดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ต้นยางเติบโตเร็วมาก ลำต้นใหญ่ 30-40 เซนติเมตร เมื่อปลูกแซมร่วมแปลงไม้ผล

ปลูกสตรอเบอรี่

เพิ่มรายได้ให้ชาวสวนยาง

คุณสมพิศ ชูสังฆ์ เกษตรกรชาวสวนยาง วัย 48 ปี อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ได้ผันอาชีพ ไปปลูกสตรอเบอรี่ทดแทน ทำรายได้เดือนละกว่าแสนบาทในช่วงหน้าหนาว ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา คุณสมพิศ ยึดอาชีพทำสวนยางพารา ประมาณ 20 ไร่ เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แต่ระยะหลังเจอวิกฤตราคายางพาราตกต่ำกว่า 2 ปี ทำให้ครอบครัวเขาประสบปัญหาขาดแคลนรายได้และแบกภาระหนี้สินก้อนโตจากการทำสวนยาง คุณสมพิศ จึงมองหาอาชีพใหม่เพื่อเสริมรายได้ช่วงราคายางตกต่ำ

คุณสมพิศ สนใจปลูกสตรอเบอรี่ ผลไม้เมืองหนาว เพราะมองว่า สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่หายากและมีราคาแพง เนื่องจากสตรอเบอรี่เป็นพืชใหม่ ทำให้เขาต้องเดินทางไปศึกษาดูงานแหล่งปลูกสตรอเบอรี่ จนมั่นใจจึงเริ่มทดลองปลูกสตรอเบอรี่ พันธุ์พระราชทาน 80 ที่นำมาจากทางภาคเหนือ เมื่อ ปี 2556 ลองผิดลองถูกนานข้ามปี จนถึงปัจจุบัน สวนสตรอเบอรี่ของเขาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่พอใจในด้านผลผลิตและรายได้ กลายเป็นที่ศึกษาดูงานของเกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป

ระยะแรก สวนสตรอเบอรี่แห่งนี้ เน้นขายผลสตรอเบอรี่ แต่หลังจากกิจการของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทำให้มีเกษตรกรจำนวนมากมาติดต่อขอซื้อต้นสตรอเบอรี่บรรจุกระถาง จำนวนมากกว่า 10,000 ต้น เพื่อนำไปปลูกในท้องถิ่นของตัวเอง ทุกวันนี้เขาจึงเน้นจำหน่ายต้นพันธุ์สตรอเบอรี่ ในราคากระถางละ ประมาณ 120-150 บาท สามารถทำให้มีรายได้เดือนละเป็นแสน

โดยทั่วไป ต้นสตรอเบอรี่ มักจะให้ผลผลิตปีละครั้งในช่วงฤดูหนาว ใช้เวลาปลูกดูแลไม่ยาก เพียงแค่ดูแลให้น้ำ ให้ปุ๋ย ประมาณ 3-4 เดือน ต้นสตรอเบอรี่ก็จะผลิดอกออกผลให้เก็บผลออกขายได้ เรียกว่า เป็นไม้ผลที่ทำเงินได้เร็ว หากมีต้นทุนต่ำ แต่ขายได้กำไรสูงทีเดียว

เทคนิคการขยายพันธุ์สตรอเบอรี่เป็นเรื่องง่ายที่ใครๆ ก็ทำได้ เริ่มจากเพาะชำต้นกล้าสตรอเบอรี่ใส่กระถาง ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน กิ่งลำต้นของสตรอเบอรี่จะออกรากติดกับกระถางเพาะชำขนาดเล็ก ก่อนนำมาลงดินบรรจุในกระถางใหญ่ ดูแลใส่ปุ๋ยรดน้ำประมาณ 1 เดือน รวมระยะเวลา ประมาณ 2 เดือน จนกล้าพันธุ์มีความแข็งแรง สามารถขายกล้าเพาะชำ ต้นสตรอเบอรี่ให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทดลองนำไปปลูก

คุณสมพิศ บอกว่า สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีอนาคตสดใส เพราะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจำนวนมากในพื้นที่ภาคอีสาน เกษตรกรสามารถขายผลสตรอเบอรี่สดได้ในราคาสูง ถึงกิโลกรัมละ 300-350 บาท การปลูกดูแลสตรอเบอรี่ไม่ใช่เรื่องยาก พื้นที่ราบสูงในภาคอีสานสามารถปลูกสตรอเบอรี่ได้อย่างสบาย หากใครอยากเรียนรู้เทคนิคการปลูกดูแลอย่างถูกวิธี สามารถแวะชมได้ที่สวนของ คุณสมพิศ ชูสังฆ์ หรือขอคำแนะนำได้ที่เบอร์โทร. (088) 533-5337 รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

Leave a comment