พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05128150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

ธรรมะจากวัด

พระมหาจรรยา สุทฺธิญาโณ

พระพุทธศาสนา ในประเทศไทย

ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ข่าวคราวเรื่องพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์มีมาอย่างต่อเนื่อง ข่าวเด่นที่ได้มีโอกาสออกสื่อหรือเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนอย่างมากคือ ข่าวความเคลื่อนไหวของชาวพุทธระดับแนวหน้าของเมืองไทยที่มีความรู้ด้านพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี หลายท่านเคยบวชเรียนมาก่อน แม้ท่านที่ไม่เคยบวชเรียนมาก็เป็นผู้สนใจพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เป็นอุบาสกอุบาสิการะดับแนวหน้า ที่ออกมาเรียกร้องให้บรรจุพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

น่าชื่นชมความพยายามของอุบาสกอุบาสิกาเหล่านี้ที่มีความปรารถนาดีที่จะยกย่องเชิดชูพระพุทธศาสนาให้โดดเด่นเป็นหลักเป็นแกนของประเทศตามองค์ประกอบแห่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างครบถ้วน

เรื่องของชาติและพระมหากษัตริย์ได้บัญญัติไว้แล้วในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ โดยใช้ข้อความเดิมจากรัฐธรรมนูญเก่าๆ ได้เลย ไม่ต้องมีใครต้องเรียกร้อง

เรื่องการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีการเรียกร้องเคลื่อนไหวทุกครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการแต่งตั้ง ไม่เคยยอมรับที่จะเขียนบทบัญญัตินี้ไว้ในรัฐธรรมนูญเลย

ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของท่านกรรมการร่างหรือประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแต่ละท่านล้วนฟังไม่ขึ้น แต่ต้องยอมรับฟังเพราะประชาชนไม่มีอำนาจใดที่จะทัดทานท่านผู้มีอำนาจ นอกจากฟังๆๆๆ

สมัยกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยก็อ้างว่า หากบรรจุ คำว่า พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ คนในชาติจะขัดแย้งกัน จะรบราฆ่าฟันกัน จนเลือดท่วมท้องช้าง ท่านพูดเสียน่ากลัว

หลังจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นประกาศใช้ เลือดไม่ท่วมท้องช้าง แต่ผู้ก่อการร้ายก็ยังฆ่าประชาชน พระสงฆ์ ครู ทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา เลือดนองท่วมท้องถนน คงจะได้เห็นในข่าวไปแล้ว

ความจริงก็คือว่า แม้ไม่ได้มีบทบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ การรบราฆ่าฟันก็มิได้ลดลงกลับเพิ่มมากขึ้นทุกปี น่าจะลองบัญญัติไว้ดูสักครั้งเผื่อการรบราฆ่าฟันจะได้เบาบางลง เพราะคนที่ฆ่าพระสงฆ์หรือพุทธบริษัทนอกจากจะผิดกฎหมายอาญาแล้ว ยังต้องผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญด้วย ก็จะทำให้คนที่ชอบฆ่าคนอื่นง่ายๆ ได้ยับยั้งชั่งใจบ้าง

แต่น่าเสียดายว่า การบัญญัติ คำว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจะเกิดขึ้นอีกไม่ได้ เพราะท่านประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแถลงได้อย่างน่าขนพองสยองเกล้าว่า หากบัญญัติพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาประจำชาติแล้วจะเป็นอันตรายในระยะยาว

เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันว่า ท่านประธานและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต่างล้วนเป็นพุทธศาสนิกชนเหมือนกัน แต่กลับมองว่าพระพุทธศาสนาเป็นอันตรายระยะยาว ไม่ทราบเหตุผลกลใดว่า จะเป็นอันตรายอย่างไร เพราะคำสอนของพระพุทธศาสนาขั้นพื้นฐานที่สอนว่า

…ตั้งใจงดเว้นจากการฆ่าสัตว์

ตั้งใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ตั้งใจงดเว้นจากการลักทรัพย์

ตั้งใจที่จะประกอบอาชีพที่สุจริต

ตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

ตั้งใจที่จะรักและซื่อสัตย์ต่อกันระหว่างสามีและภรรยา

ตั้งใจงดเว้นจากการพูดเท็จ

ตั้งใจพูดแต่ความซื่อสัตย์

ตั้งใจงดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย

ตั้งใจภาวนาให้สติสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้นไป

คำสอนแบบนี้หรือ ที่จะทำให้ศาสนิกรบราฆ่าฟันกันจนเลือดท่วมท้องช้าง

คำสอนแบบนี้หรือ ที่จะเป็นอันตรายระยะยาว…

เมื่อท่านคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ที่เป็นพุทธศาสนิกชนไม่เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่กลับเห็นไปว่า ถ้าบัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญจะก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว

ความเห็นของท่านผู้มีเกียรติเหล่านั้น เป็นความเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เมื่อท่านเหล่านี้เป็นผู้มาร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศ ร่างอยู่บนพื้นฐานแห่งภยาคติ คือลำเอียงเพราะกลัว และบวกโมหาคติลำเอียงเพราะไม่รู้ รัฐธรรมนูญที่จะประกาศใช้ก็ไม่สมประกอบ บูดๆ เบี้ยวๆๆ ไม่นานก็มีคณะผู้ฉีกรัฐธรรมนูญคณะต่อไปมาฉีกทิ้งออก และร่างกันใหม่ วนไปเวียนมาในวัฏสงสารอย่างยาวนาน

น่าจะลองบัญญัติว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญดูสักครั้ง เพื่อเป็นสิ่งปกป้องคุ้มครองการฉีก ก็อาจจะเป็นได้ ไหนๆ จะมโนกันทั้งที ก็ควรจะมโนให้สวยงามหน่อย ไม่ควรจะมโนเห็นเลือด หรืออันตรายใดๆๆ เพราะในประวัติศาสตร์โลกชาวพุทธไม่เคยไปรุกรานใครเลย ไม่ได้แสดงอาการโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ใดๆ ให้ปรากฏ หากบัญญัติไว้ก็จะเป็นการจารึกความดีงามลงในรัฐธรรมนูญของชาติและประวัติอันสวยงามของผู้ร่างรัฐธรรมนูญเท่านั้น ท่านอุบาสกอุบาสิกาที่เคลื่อนไหวก็ไม่ได้อะไร นอกจากความภูมิใจที่ร่วมกันทำความดีฝากไว้ในแผ่นดินเท่านั้น

หากมองจากสายตาพระสงฆ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็มองว่า มาถึงจุดนี้พระสงฆ์ไม่ควรเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องการบัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญอีก เพราะคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเปรียบเหมือนคนตักบาตร

การบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ เปรียบเหมือนสังฆทานหรือของตักบาตร

เมื่อพระสงฆ์ไปยืนขอแล้วเขาไม่ให้ พระสงฆ์ควรต้องถอยออกมา ตามวิธีการบิณฑบาตทั่วๆ ไป นั่นเอง

ส่วนว่าถ้าอุบาสกอุบาสิกาคนใดยังมีศรัทธาที่จะบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็เคลื่อนไหวในฐานะพลเมืองตามสิทธิ์ที่จะพึงกระทำได้ ไม่กดดันรัฐบาลหรือไม่ใช้ความรุนแรงแต่ประการใด หากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคิดเห็นคล้อยตาม อาจจะใส่ข้อความดังกล่าวให้ได้

การเคลื่อนไหวของอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล ที่สำคัญต้องเคลื่อนไหวด้วยความสงบและสุภาพตามวิถีพุทธ

เรื่องในวงการพุทธศาสนาอีกเรื่องหนึ่ง ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในประเทศไทยคือ เรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช รูปที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ อันส่งสัญญาณว่าจะไม่ราบรื่นเหมือนที่เคยเป็นมา

สิ่งที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่รักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องตระหนักคือ เรื่องการสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะก็ตาม การสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชก็ตาม เป็นเรื่องพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง

กฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตามในเรื่องนี้ ก็ปฏิบัติได้ง่าย ไม่สลับซับซ้อนอะไร เป็นความสัมพันธ์อันสวยงามระหว่างสถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาช้านานตราบเท่าวันนี้

ขอให้พุทธบริษัทใช้วิจารณญาณอย่างลึกล้ำ ไม่ควรเคลื่อนไหวใดๆ ที่อาจจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ควรให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองแห่งกฎหมายที่ถวายพระราชอำนาจไว้แล้ว

ท่านนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเสมอว่า ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย เรื่องการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช รูปที่ 20 นี้ก็เช่นกัน หากเดินตามครรลองแห่งกฎหมาย ทุกอย่างสามารถยุติได้อย่างสวยงาม

ดูเหมือนว่า กุญแจดอกสำคัญที่จะไขสู่ความสงบสวยงามมี 2 ดอก คือ

1. ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

2.ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ที่จะต้องประสานกันใช้กฎหมายให้เกิดประสิทธิภาพ ถูกต้องดีงามโดยเร็ว

ต้องตั้งสติกันดีๆ งานนี้ไม่มีความขัดแย้งในวงการคณะสงฆ์ ไม่มีความขัดแย้งของพุทธบริษัทใดๆ มีแต่ชาวพุทธบางท่านที่เห็นต่างตามความเชื่อถือของตนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะมีปรากฏการณ์เหล่านี้ในสังคมประชาธิปไตยทั่วไป

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความเคลื่อนไหวต่างๆ อันเป็นเหตุให้วงการคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนาไทยกระเพื่อมจะสงบลงโดยเร็ววัน ขอเพียงทุกท่านใช้สติดำริไตร่ตรองให้ลึกซึ้งก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ ที่เห็นว่า ถูกต้องชอบธรรมเป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น ทั้งระยะสั้นและระยะยาวสืบไป

Leave a comment