อากาศเปลี่ยนแปลง ต้องดูแลสุขภาพสัตว์อย่างไรดี ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05078150259&srcday=2016-02-15&search=no

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617

เทคโนโลยีปศุสัตว์

สุรเดช สดคมขำ

อากาศเปลี่ยนแปลง ต้องดูแลสุขภาพสัตว์อย่างไรดี ?

ช่วงฤดูกาลที่อากาศแปรปรวนเช่นนี้ อาจส่งผลให้สัตว์ที่เกษตรกรเลี้ยง เกิดความเครียด และภูมิคุ้มกันต่อโรคลดลง ทำให้เจ็บป่วยง่ายขึ้น

ดังนั้น เพื่อเป็นการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทาง ซีพีเอฟ ได้มีข้อแนะนำที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลสัตว์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร และสัตว์น้ำ

สัตว์ปีก ต้องดูแลเป็นพิเศษ

โดย น.สพ. นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกต้องใส่ใจดูแลสัตว์เป็นพิเศษ ด้วยการปรับสภาพในโรงเรือนให้ดี และต้องเน้นการให้ความอบอุ่นแก่ตัวสัตว์ โดยเฉพาะลูกสัตว์ อาทิ การใช้ผ้าม่านหรือกระสอบสำหรับบังลมรอบโรงเรือน โดยต้องมีการระบายอากาศ

ส่วนในโรงเรือนปิดแบบอีแว้ปก็ควรกั้นผ้าหรือกระสอบเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้มีลมโกรก และอาจเพิ่มไฟกกให้กับสัตว์ที่อายุยังน้อยเพื่อไม่ให้นอนสุมที่จะเสี่ยงต่อความเสียหายได้ ทั้งนี้ ย้ำว่าไม่ควรสุมไฟให้ไก่เพราะอาจเกิดอันตรายได้

สำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อหรือไก่กระทงที่ใช้แกลบรองพื้นในการเลี้ยง ต้องหมั่นกลับแกลบอย่างน้อย 1-2 วัน ต่อครั้ง เพื่อป้องกันการเก็บความชื้น

ส่วนไก่ไข่ต้องจัดการกับมูลไก่ใต้กรงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากแก๊สแอมโมเนีย

พร้อมกันนี้ แนะนำให้เพิ่มการให้อาหารมากขึ้น เพราะไก่จะนำพลังงานจากอาหารไปต่อสู้กับความหนาวเย็น

นอกจากนี้ ต้องเข้มงวดกับการทำวัคซีนป้องกันโรคตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์กำหนด และสามารถเพิ่มให้วิตามินละลายน้ำให้ไก่กินได้ตามสมควร

น.สพ. นรินทร์ กล่าวอีกว่า ช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคมของทุกปี เป็นช่วงการอพยพย้ายถิ่นของฝูงนกจากฤดูกาลของเขตหนาวในซีกโลกเหนือมายังประเทศในเขตอบอุ่น เช่น ประเทศไทย ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ปีก จึงแนะนำให้เกษตรกรใช้มาตรการ การป้องกันตั้งแต่ต้นทาง และการเลี้ยงด้วยวิธีที่ถูกต้อง

โดยข้อควรปฏิบัติสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกแบบปล่อย เช่น เป็ดไร่ทุ่ง และไก่บ้าน ในช่วงนี้ว่า ควรนำสัตว์ปีกเข้าไปเลี้ยงภายในโรงเรือนที่มีตาข่ายปิดมิดชิดและมีหลังคาคลุม เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกจากฝูงนกอพยพ ควบคู่กับการให้น้ำของสัตว์ปีกจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนออกฤทธิ์ประมาณ 2-3 ppm หรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตร ใช้คลอรีนออกฤทธิ์ประมาณ 2-3 กรัม รวมไปถึงการพ่นยาฆ่าเชื้อในกลุ่มกลูตาราลดีไฮด์เป็นประจำทุกวัน ที่สำคัญควรมีรองเท้าบู๊ตสำหรับใส่ภายในโรงเรือนโดยเฉพาะ

“สำหรับเกษตรกรที่สงสัยว่าสัตว์ของตนเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค โดยสังเกตจากการตายผิดปกติเกินร้อยละ 1 ของสัตว์ทั้งฟาร์ม ต่อวัน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ของ ซีพีเอฟ เพื่อลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสัตว์ และนำมาส่งตรวจที่สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก โดยจะทราบผลภายใน 1-2 วัน” น.สพ. นรินทร์ กล่าว

การจัดการในสุกร

ด้าน น.สพ. ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายธุรกิจสุกร ให้คำแนะนำด้านการจัดการสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรว่า ต้องควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนเลี้ยงสุกรให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวจนเกินไป โดยสังเกตง่ายๆ จากการนอนของสุกร ถ้าอุณหภูมิเหมาะสม สุกรจะนอนสบาย ใช้ด้านข้างตัวนอนราบกับพื้น หากอุณหภูมิต่ำเกินไปสุกรมักจะนอนบนขาตัวเอง มีอาการหนาวสั่น หรือนอนสุมกันเป็นกอง

นอกจากนี้ ยังต้องควบคุมอย่าให้ภายในโรงเรือนเปียกชื้นหรือแฉะมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อุณหภูมิภายในลดต่ำลง ในกรณีที่อุณหภูมิในโรงเรือนต่ำลงมาก อาจใช้ผ้าม่านกั้นแนวลมที่จะเข้าโรงเรือนเพื่อไม่ให้ลมหนาวพัดผ่านตัวสุกรโดยตรง กรณีลูกสุกรอายุน้อยอาจทำกล่องกกและเพิ่มหลอดไฟกก หรือใช้วัสดุรองพื้น เช่น ไม้รองนอน แกลบ ขี้กก เป็นต้น แต่ต้องมั่นใจว่าวัสดุรองนอนเหล่านั้นปลอดจากเชื้อโรค นอกจากนี้ ยังต้องควบคุมการให้อาหารให้เหมาะสม ด้วยการแบ่งมื้ออาหารให้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นการกินอาหารของสุกร

สำหรับสัตว์กีบคู่ อาทิ โค กระบือ สุกร ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวังเรื่องโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) การป้องกันโรคนี้ทำได้โดยการทำวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำ และต้องป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกที่อาจนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงไม่อนุญาตให้คนภายนอกที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคจากฟาร์มอื่นเข้าฟาร์ม ที่สำคัญต้องไม่อนุญาตให้รถขนส่งสัตว์กีบคู่จากฟาร์มอื่นๆ ที่มีสัตว์อยู่บนรถขนส่งเข้าฟาร์มโดยเด็ดขาด และในสุกรควรระวัง โรคพีอาร์อาร์เอส (PRRS) เป็นพิเศษ

สำหรับการป้องกันโรคควรมุ่งเน้นการควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนที่เหมาะสม กรณีเกิดโรคขึ้นในฟาร์มให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามข้อมูลด้านสุขภาพสัตว์และขอคำแนะนำอย่างครบวงจรได้ที่ สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก ถนนสุวินทวงศ์ แขวงลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร โทร. (02) 988-0670 ในเวลาทำการตั้งแต่ 08.30-18.00 น.

เลี้ยงปลา ควรทำอย่างไรดี?

ในส่วนของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงนี้ คุณอดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำของ ซีพีเอฟ ได้ให้ข้อแนะนำว่า ปัจจุบันที่หลายพื้นที่มีสภาพอากาศแปรปรวนโดยอุณหภูมิลดต่ำลงในช่วงเช้าและค่ำ สลับกับร้อนขึ้นในช่วงกลางวัน ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพของปลา เนื่องจากปลาเป็นสัตว์เลือดเย็นจึงมีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับสภาพแวดล้อม

โดยปกติอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลานิลและปลาทับทิมอยู่ที่ประมาณ 26-30 องศาเซลเซียส เมื่ออุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงจะทำให้ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายของปลาผิดปกติ รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันก็จะลดต่ำลงด้วย ที่สำคัญแหล่งน้ำสำหรับเลี้ยงปลาบางแห่งปริมาณน้ำก็ลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากปัญหาภาวะแล้ง ทำให้ปลากระชังที่เลี้ยงในแม่น้ำสายต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คุณอดิศร์ แนะนำวิธีการเลี้ยงปลาแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังว่า ควรวางแผนการเลี้ยงอย่างรอบคอบ ไม่เลี้ยงปลาหนาแน่นจนเกินไป และควรปล่อยลูกปลาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยอนุบาลลูกปลาก่อนปล่อยเลี้ยงประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ปลาโตขึ้น แข็งแรงขึ้น และมีภูมิต้านทานที่เหมาะสม

ที่สำคัญควรสังเกตการกินอาหารที่อาจลดลงเนื่องจากอุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ซึ่งควรยึดหลักการ การให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง ด้วยการแบ่งจำนวนมื้ออาหารมากขึ้นเป็นวันละ 5-6 มื้อ และในแต่ละครั้งจะต้องให้ทีละน้อยเท่าที่ปลากินหมดเพื่อกระตุ้นการกิน และต้องหมั่นสังเกตปริมาณอาหารที่เหลือลอยบนผิวน้ำ หากเหลือมากควรปรับลดอาหารให้พอเหมาะ โดยหลีกเลี่ยงการให้อาหารในช่วงเช้าที่มีอุณหภูมิต่ำ เพราะปลาจะกินอาหารได้น้อย

ทั้งนี้ ในช่วงอากาศหนาวจัดเกษตรกรควรผสมวิตามินซีและสารกระตุ้นภูมิต้านทานในอาหารให้ปลากินสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ต้องหมั่นตรวจสอบสุขภาพปลาด้วยการสุ่มตรวจพาราไซต์ทุกๆ สัปดาห์ และควรวัดคุณภาพน้ำเป็นประจำ โดยค่าของแอมโมเนียรวมที่ละลายน้ำไม่ควรเกิน 0.5 ppm นอกจากนี้ แนะนำให้ติดตั้งเครื่องให้อากาศและในช่วงเวลาที่อุณหภูมิสูงขึ้นควรเปิดตลอดเวลา เพื่อให้น้ำมีการผสมกันตลอดตามแนวลึกของบ่อ ไม่เกิดการแบ่งชั้นของน้ำ และเกิดการผสมของอากาศกับน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำอยู่ไม่น้อยกว่า 4 ppm

สำหรับการเลี้ยงในรูปแบบบ่อดิน ซึ่งถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการเลี้ยงปลาเชิงพาณิชย์ในปัจจุบันเนื่องจากสามารถควบคุมคุณภาพน้ำและอุณหภูมิน้ำได้ง่ายกว่าการเลี้ยงในแหล่งน้ำธรรมชาติ และแนะนำให้เกษตรกรนำนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบ “โปร-ไบโอติก” (Pro-Biotic Farming) เข้ามาใช้ร่วมด้วย โดยการใช้แบคทีเรียที่เป็นมิตรกับปลาและสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยปรับสมดุลสิ่งแวดล้อมในบ่อ จึงไม่มีการใช้ยาหรือสารปฏิชีวนะใดๆ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและควบคุมคุณภาพน้ำ ทำให้ปลาที่เลี้ยงมีสุขภาพดี แข็งแรง ได้ผลผลิตปลาเนื้อคุณภาพสูง

“นอกจากนี้ หากอากาศเย็นลงก็สามารถทำแนวบังลมในทิศทางที่ลมหนาวพัดมาคือ ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อลดผลกระทบของลมเย็นที่กระทำต่อพื้นผิวน้ำในบ่อ” คุณอดิศร์ กล่าวในที่สุด

ยืนยัน หมู-ไก่ ผลิตได้มาตรฐาน ปราศจากเชื้อดื้อยา

น.สพ. ปราโมทย์ ตาฬวัฒน์ นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสุกรไทย ยืนยันว่า กระบวนการผลิตเนื้อหมูของประเทศไทยตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสุกรจนถึงกระบวนการแปรรูป โดยเฉพาะการควบคุมการใช้ยาและเวชภัณฑ์จะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดและมาตรฐานกรมปศุสัตว์อย่างเคร่งครัด ได้มาตรฐานสากล สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้

ปัจจุบัน ผู้ผลิตเนื้อสุกรมุ่งเน้นการผลิตตามหลักอาหารปลอดภัย (food safety) โดยพัฒนาระบบป้องกันโรค เพื่อป้องกันสัตว์ป่วย และการจัดการโรงเรือนตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ (animal welfare) เพื่อให้สัตว์อยู่สบาย เมื่อไม่ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

กรณีที่มีปัญหาสุขภาพ การใช้ยาเพื่อรักษาจะอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบสารตกค้างก่อนชำแหละ ณ โรงชำแหละมาตรฐาน ตลอดจนป้องกันการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียระหว่างการขนส่งชิ้นเนื้อและผลิตภัณฑ์อีกด้วย

ด้าน น.สพ. สุเมธ ทรัพย์ชูกุล นายกสมาคมสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์มสัตว์ปีก กล่าวว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย มีการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตตามหลักอาหารปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล ตรวจสอบย้อนกลับได้ เป็นที่ยอมรับในเวทีระดับโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไก่เนื้อไทย ที่สามารถส่งออกเนื้อไก่ไปยังต่างประเทศ โดยมีคู่ค้าที่สำคัญ ทั้งสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และตะวันออกกลาง ซึ่งยอมรับในมาตรฐานการผลิตของไทยที่สะอาดปลอดภัย ตั้งแต่การเลี้ยงในระบบโรงเรือนที่ดี ทำให้สัตว์อยู่สบาย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการเลี้ยง สามารถตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้ ตลอดจนมีกระบวนการและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ปัจจุบันมีฟาร์มสุกรและฟาร์มสัตว์ปีกเข้าสู่ระบบมาตรฐานฟาร์ม ที่ได้รับการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ เพื่อให้ผลิตปศุสัตว์ที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เนื้อไก่และหมูที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมมีความปลอดภัย ปราศจากเชื้อดื้อยาเป็นสำคัญ

ภาคปศุสัตว์มีความชัดเจนสูงมากต่อการรณรงค์เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เนื่องจากภาคปศุสัตว์มีเงื่อนไขทางต้นทุนการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงข้อกำหนดและมาตรฐานของประเทศคู่ค้าของไทยที่มีความเข้มงวดสูง และมีข้อตกลงร่วมกันในประเด็นสารตกค้างจากยาปฏิชีวนะอย่างมาก ทั้งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของไทยได้ร่วมมือกับภาครัฐดำเนินการผลิตเนื้อสัตว์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะระบบป้องกันยาปฏิชีวนะตกค้างในเนื้อสัตว์ของไทยได้มีประสิทธิภาพสูง ดำเนินการตามข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งมาตรฐาน Food Safety สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการผลิต และตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้าได้

Leave a comment