ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05093150259&srcday=2016-02-15&search=no
| วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617 |
เยาวชนเกษตร
สุจิต เมืองสุข
โรงเรียนอนุบาลห้วยคต พัฒนาทักษะเกษตร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ชุมชน-โรงเรียน
โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ตำบลห้วยคต อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี เป็นโรงเรียนที่พิจารณาจากชื่อแล้ว ประเมินว่าน่าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่มีนักเรียน บุคลากรทางการศึกษาไม่มากนัก ทั้งกิจกรรมใดๆ ที่ดำเนินอยู่ก็น่าจะเล็กๆ กะทัดรัด เช่นเดียวกับชื่อ แต่เมื่อได้สัมผัส สิ่งที่คาดคะเนไว้ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเกษตรที่ใหญ่เกินกว่าสันนิษฐานจากชื่อโรงเรียนได้
อาจารย์สกล แถบพยัคฆ์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) และ อาจารย์นริศรา คำภาพัก ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ที่สนใจนำข้อมูลการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมภาคเกษตรของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ไปเผยแพร่ ผ่านนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน
อาจารย์นริศรา ให้ข้อมูลพื้นฐานของโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) ว่า เป็นโรงเรียนที่เปิดการเรียนการสอนระดับอนุบาลถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อตั้งมาเมื่อ พ.ศ. 2526 บนพื้นที่ 15 ไร่ มีนักเรียน เกือบ 300 คน และมีบุคลากรทางการศึกษา 12 คน ซึ่งกิจกรรมในภาคเกษตรของโรงเรียน มีมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโรงเรียน เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดหาอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนรับประทาน ประกอบกับแหล่งซื้อวัตถุดิบมาประกอบอาหารในอดีตอยู่ห่างไกล รวมถึงต้องการให้เด็กได้รับประทานอาหารที่ปลอดสาร ความคิดริเริ่มทำการเกษตร นำผลผลิตที่ได้มาประกอบอาหารรับประทานเองจึงมีขึ้น
โชคไม่ดีเท่าไหร่นักที่เราไปในช่วงฤดูแล้ง ทำให้กิจกรรมหลายกิจกรรมไม่ค่อยสมบูรณ์ และบางกิจกรรมยกเลิกไป เพราะบุคลากรไม่เพียงพอ แม้ว่าจะมีอาจารย์สกล เป็นผู้ดูแลในปัจจุบัน ก็ยังถือว่าไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก ด้วยสุขภาพของอาจารย์สกลไม่สู้ดี ทำให้บุคลากรที่เหลือต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ รวมถึงเด็กนักเรียนที่ต้องรับบทหนัก รับผิดชอบกิจกรรมให้ได้ด้วยตนเอง
แต่ก็ไม่ถือเป็นความโชคร้ายของเด็กนักเรียนที่นี่ เพราะการให้รับผิดชอบกิจกรรมทางการเกษตรด้วยตนเองอย่างเต็มที่ ทำให้เด็กนักเรียนได้รับความรู้ทั้งในเชิงข้อมูลและภาคปฏิบัติ จนสามารถนำไปสานต่อกิจกรรมที่บ้าน เป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวมาแล้วหลายครอบครัว
พื้นที่ทางการเกษตรของโรงเรียน มีประมาณ 5 ไร่ ประกอบไปด้วย บ่อเลี้ยงปลา การเลี้ยงหมูหลุม การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ การเลี้ยงไก่ไข่ การทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ แปลงผักสวนครัว และไม้ผล ซึ่งนักเรียนในทุกระดับชั้นจะมีโอกาสได้เข้าพื้นที่เกษตร แต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ ยกเว้นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ในภาคทฤษฎี
อาจารย์สกล กล่าวว่า กิจกรรมทางการเกษตรตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน ในระยะแรกเป็นเพียงแปลงผักง่ายๆ การขุดบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง เลี้ยงปลาตามธรรมชาติในบ่อ และปลูกไม้ผลไม่มากนัก แต่ทั้งหมดก็ค่อยๆ เจริญเติบโตเป็นรูปธรรม ด้วยการพัฒนาของบุคลากรภายในโรงเรียน เพื่อให้ได้ผลผลิตตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่า ต้องการให้แปลงเกษตรที่ดำเนินอยู่ เป็นวัตถุดิบนำมาประกอบอาหารกลางวันให้กับเด็ก ซึ่งเป้าหมายที่วางไว้ต้องการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจากผู้ปกครอง และต้องการให้เด็กได้เรียนรู้เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันและอนาคต
เด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จะแบ่งกลุ่มตามกิจกรรมที่มีอยู่ จากนั้นจัดเวรดูแลกิจกรรมนั้นๆ ให้ครบทุกวัน ในวันเสาร์และอาทิตย์ นักเรียนจะตกลงกันเองตามความสะดวกของนักเรียนด้วยกันในกลุ่ม เพื่อให้กิจกรรมดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง และได้ผลผลิตที่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งการแบ่งกลุ่มนั้น เด็กนักเรียนจะแบ่งกลุ่มตามความชอบในกิจกรรมนั้นๆ แต่ถึงอย่างไรก็จะหมุนเวียนกิจกรรมให้ได้ปฏิบัติเหมือนกันทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ครบทุกกิจกรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ
ปัจจุบัน กิจกรรมที่พักไว้ชั่วคราวรอบุคลากรพร้อมแล้วจะสานต่อ คือ การเลี้ยงหมูหลุม การทำก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ และการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ ซึ่งทั้ง 3 สิ่ง เป็นกิจกรรมที่ช่วยปูพื้นฐานให้กับเด็กนักเรียนได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ อีกทั้งยังประสบปัญหาพายุฤดูร้อนที่รุนแรง ส่งผลให้หลังคาบ่อซีเมนต์ที่ใช้เลี้ยงกบพังทลาย จึงต้องวางโครงการให้ดีและคำนวณระยะเวลาการเลี้ยงกบให้หลีกเลี่ยงช่วงที่อาจเกิดพายุฤดูร้อนไว้ด้วย
สำหรับแปลงผัก เป็นกิจกรรมที่สามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกิจกรรมที่ง่ายต่อความเข้าใจและการปฏิบัติของเด็กนักเรียน ในทุกเช้าและเย็น เด็กนักเรียนที่รับผิดชอบจะลงแปลงผัก เพื่อรดน้ำ สังเกต และเก็บถอนวัชพืช มีให้ปุ๋ยบ้างตามระยะเวลาที่เหมาะสม ซึ่งปุ๋ยที่ใช้นำมาจากศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอห้วยคต ที่ตั้งอยู่ไกลจากโรงเรียนไม่เท่าไหร่นัก
ไม้ผล มีไม่กี่ชนิด แต่ที่เห็นเป็นแปลงใหญ่ที่สุด คือ กล้วย อาจารย์สกล บอกว่า การปลูกกล้วยไว้จำนวนมาก เพราะพื้นที่บริเวณโรงเรียนมีลักษณะเป็นดินดาน ยากต่อการปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดี เพราะดินขาดแร่ธาตุหลายชนิด ไม้ผลที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายชนิด และเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพ ทั้งยังช่วยบำรุงดินให้มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาอีก คือ กล้วย จึงปลูกกล้วยไว้เต็มแปลงหลายสิบต้น ซึ่งนอกจากกล้วยแล้ว บริเวณขอบบ่อเลี้ยงปลา โรงเรียนได้ปลูกส้มโอ มะขามเทศ มะม่วง สับปะรด ไว้อีกจำนวนหนึ่ง
ไก่ไข่ เป็นอีกกิจกรรมที่สร้างโรงเรือนไว้อย่างแน่นหนา เด็กนักเรียนจะเก็บไข่ไก่ วันละ 2 ครั้ง เช้าและบ่าย การให้อาหารและน้ำจะให้วันละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกัน ส่วนการทำความสะอาด ในทุกวันเด็กนักเรียนที่เป็นเวรดูแลจะต้องเก็บกวาดขี้ไก่ไม่ให้หมักหมม และนำขี้ไก่ไปหมักรวมเป็นปุ๋ยชีวภาพ ปัจจุบัน มีไก่ไข่ ประมาณ 70 ตัว เก็บไข่ได้วันละไม่ต่ำกว่า 50 ฟอง ไข่ไก่ที่เก็บได้จะนำไปประกอบอาหารกลางวัน หากเหลือจะขายให้กับผู้ปกครองและครู
การเลี้ยงปลา ทำในบ่อ พื้นที่ 2 งาน เลี้ยงปลากินพืชและปลาที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งนักเรียนที่รับผิดชอบจะต้องนำเศษอาหารที่เหลือทิ้งในทุกวัน นำมาเป็นอาหารให้กับปลา ยกเว้นช่วงปิดเทอม หรือไม่มีเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหาร ก็จะใช้อาหารสำเร็จรูปที่เตรียมไว้แทน อย่างไรก็ตาม การนำเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารในทุกวันมาเป็นอาหารปลา ก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงปลาลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การจับปลามาเป็นอาหารจะหมุนเวียนกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น และจะจับปลาในปริมาณที่ต้องการนำมาประกอบอาหารเท่านั้น เพื่อให้ปลาที่เหลืออยู่ขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนปลาในบ่อเลี้ยงต่อไป
ส่วนการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ จะลงกบในช่วงที่มั่นใจว่ามีบุคลากรช่วยดูแลเพียงพอ ครั้งละ 5,000 ตัว เมื่อกบเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมขาย จะจับมาทำอาหาร ส่วนที่เหลือขายให้กับผู้สนใจในราคา กิโลกรัมละ 80 บาท
นอกเหนือจากการส่งเสริมการเกษตรภายในโรงเรียน อาจารย์นริศรา บอกด้วยว่า พื้นที่ภายในโรงเรียนมีจำกัด ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ทำให้การเรียนรู้ไม่ครบถ้วนในทุกมุม จึงประสานกับศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อำเภอห้วยคต จัดพื้นที่ให้เด็กนักเรียนไปเรียนรู้ในวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์การเรียนรู้ฯ ถ่ายทอดการดูแลแปลงผัก การปลูกพืช การทำปุ๋ย นอกจากนี้ ยังให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงเป็ดไข่ ซึ่งโรงเรียนไม่มีพื้นที่เลี้ยง แต่นักเรียนจะใช้พื้นที่ภายในศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้เป็นที่ทดลองปฏิบัติ ซึ่งไข่เป็ดที่ได้จากศูนย์การเรียนรู้ฯ บางส่วน โรงเรียนจะนำไปประกอบอาหารให้กับนักเรียนด้วย
“การปลูกฝังเรื่องเกษตรให้เด็กเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอนาคตเด็กจะทำไว้รับประทานเองที่บ้านได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย บางรายอาจทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัวเลยก็มี ซึ่งโรงเรียนก็เป็นเพียงสถานที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก แต่อีกมุมหนึ่ง เด็กนักเรียนก็สามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับครูและเพื่อนๆ ได้เช่นกัน เพราะพื้นฐานเด็กนักเรียนที่นี่ทำการเกษตรเกือบทุกครัวเรือน สิ่งที่นักเรียนเห็นผู้ปกครองทำ หรือเคยช่วยผู้ปกครองทำมาก่อน ก็จะนำมาสอนเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างบ้านและชุมชน” อาจารย์นริศรา กล่าว
อาจารย์นริศรา กล่าวอีกว่า นักเรียนของโรงเรียนอนุบาลห้วยคตทุกคน จะได้กินข้าวและอาหารกลางวันฟรีทุกคน ปกติโรงเรียนที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนจากรัฐบาลจะได้เป็นค่าอาหารกลางวันเท่านั้น แต่สำหรับโรงเรียนอนุบาลห้วยคต มีข้าวให้ด้วย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง แม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็เป็นการช่วยเหลือเด็กนักเรียน ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนเคยได้รับรางวัลโครงการอาหารกลางวันยั่งยืนระดับประเทศ รางวัลโรงเรียนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโรงเรียนในการพัฒนาการเรียนและเด็กนักเรียน
เด็กหญิงพรทิพย์ จันทศรี หรือ น้องกรุ๊ป นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า ชอบกิจกรรมปลูกผักสวนครัวในโรงเรียนมากที่สุด เพราะผักที่ได้นำไปประกอบอาหาร ถ้าทำเป็นอาชีพก็สามารถส่งออกไปขายต่างประเทศได้ ครอบครัวทำไร่อ้อย เมื่อมีเวลาว่างก็ช่วยพ่อและแม่ทำไร่อ้อย แต่การทำไร่อ้อยยากกว่าการทำแปลงผัก เพราะต้องมีเงินทุนสูง ต้องวางระบบการปลูกให้ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตสูง ขายได้ราคา
ส่วน เด็กหญิงปรางทิพย์ ไขประภาย หรือ น้องบิวตี้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 บอกว่า ชอบการปลูกผักสวนครัวที่สุด เพราะปลูกง่าย การดูแลไม่ยาก ผลผลิตที่ได้นำไปประกอบอาหาร เหลือนำไปจำหน่าย และเป็นทางเลือกของเยาวชนในยุคนี้ที่ควรปลูกผักไว้รับประทานเอง เพื่อได้กินอาหารที่ปลอดสาร และลดค่าใช้จ่ายภายในครัวเรือนลง
ด้าน เด็กหญิงศุคณฑา สมสุด หรือ น้องแพร นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวว่า ชอบทำการเกษตรมาก ความรู้ที่ได้จากโรงเรียนในการทำการเกษตรได้นำไปปรับใช้ที่บ้าน โดยเลี้ยงไก่ไข่ 15 ตัว และปลูกผักสวนครัว สิ่งที่อยากให้โรงเรียนเพิ่มเติมในแปลงเกษตร คือ การปลูกไม้ผล โดยเฉพาะมะขามเทศ เพราะมีวิตามินซีสูง และนำมารับประทานเล่นได้อีกด้วย
เด็กหญิงพลอยชมพู หมู่มาก หรือ น้องพลอย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กล่าวทิ้งท้ายว่า ชอบการเลี้ยงปลาและปลูกผัก การให้อาหารปลาโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย คือ การนำเศษอาหารเหลือทิ้งจากโรงอาหารมาให้ และควรสังเกตการกินของปลา หากปลาโผล่ขึ้นมากินอาหารน้อย แสดงว่าปลาเริ่มอิ่ม ควรให้อาหารโดยสังเกตการกินด้วย เพื่อไม่ให้อาหารเกินความต้องการมากเกินไป ถ้าอาหารมีมากเกินความต้องการจะทำให้น้ำเน่า ต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลัง เพิ่มต้นทุนการผลิตอีกด้วย
แม้ว่าโรงเรียนอนุบาลห้วยคต (บ้านชุมทหารพัฒนา) จะเป็นโรงเรียนที่ได้รับรางวัลหลากหลายรางวัลมาแล้ว แต่การส่งเสริมและสนับสนุนในมุมของภาคเกษตร ก็ยังคงไม่เพียงพอ หากเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้รับความรู้ในเชิงเกษตรอย่างจริงจัง หน่วยงานใดต้องการสนับสนุน หรือเข้าศึกษาดูงาน ติดต่อได้ที่ อาจารย์นริศรา คำภาพัก โทรศัพท์ (095) 634-3179 หรือ อาจารย์สกล แถบพยัคฆ์ โทรศัพท์ (081) 284-0299