ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05084150259&srcday=2016-02-15&search=no
| วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 617 |
สัตว์เลี้ยงสวยงาม
สุจิต เมืองสุข
“ไก่แจ้พานทอง” เพชรน้ำหนึ่ง สร้างมาตรฐาน ฟาร์มปลอดโรค
สมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย นับเป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้เลี้ยงไก่แจ้ในยุคต้นๆ ของการเลี้ยงไก่แจ้ แม้ว่าจะมีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยมาก่อนหน้านั้น แต่ก็ไม่จัดเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งเป็นสมาคมหรือชมรมใดๆ อย่างเป็นทางการ และสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย ยังถือเป็นสมาคมที่มีเป้าหมายในการรวมกลุ่มอย่างชัดเจนคือ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย ตามชื่อการก่อตั้งสมาคม
ผู้ก่อตั้งสมาคม คือ คุณพานทอง สมานวิจิตร ที่อดีตเป็นข้าราชการครู แต่สนใจเลี้ยงไก่แจ้มาตั้งแต่ 30 ปีก่อน คู่ชีวิตของคุณพานทอง คือ คุณสุมน สมานวิจิตร ผู้ที่คุณพานทอง บอกว่า เป็นผู้ที่สนใจและบอกกับคุณพานทองว่า จะซื้อไก่แจ้มาเลี้ยง เลี้ยงเพื่อความสวยงาม เลี้ยงเพราะชอบ เลี้ยงสำหรับเป็นเพื่อนในขณะนั้น
ไก่แจ้คู่แรก ราคาคู่ละ 600 บาท การซื้อขายไก่แจ้ในอดีต คุณพานทอง เล่าว่า เป็นเรื่องปกปิดมาก คนซื้อไม่มีโอกาสได้รู้ว่าไก่แจ้ที่ไปซื้อจะได้สีอะไร รูปร่างลักษณะแบบไหน ทำได้แค่แจ้งให้ผู้ขายรู้ว่า เราต้องการซื้อไก่แจ้ จากนั้นนั่งรอจนกว่าผู้ขายจะนำไก่แจ้มาให้ เมื่อได้ไก่แจ้มาแล้ว การเลี้ยง การดูลักษณะพันธุ์ หรือความรู้ที่เกี่ยวข้องกับไก่แจ้ทุกอย่าง ไม่มีใครถ่ายทอดให้ เป็นการเลี้ยงไก่แจ้แบบหวง และมีคนเลี้ยงจริงจังไม่มากนัก ทำให้การเลี้ยงไก่แจ้ในลักษณะของฟาร์มและการประกวด เป็นเรื่องห่างไกลสำหรับผู้สนใจ
“คู่แรกได้มา ก็ต่อกรงเลี้ยงบริเวณมุมของบ้าน เลี้ยงไปได้สักพักรู้สึกว่าคู่เดียวน้อยไป จึงไปซื้อมาเพิ่มรวมเป็น 3 คู่ เลี้ยงไปเรื่อยๆ ไก่แจ้ก็เริ่มให้ไข่และกกไข่ออกมาเป็นตัว เมื่อปริมาณมากขึ้น ก็ต้องต่อกรงขยายออกไป”
ด้านข้างของบ้านเป็นบ่อ เมื่อคิดจะขยายกรงเลี้ยงให้เป็นโรงเรือนสำหรับไก่แจ้ จึงคิดทำโรงเรือนบริเวณบ่อ แต่ทุนน้อย คุณสุมน จึงขอขี้เลนที่เรือขุดดูดขึ้นมานำมาถมจนเต็มบ่อ จากนั้นก็นำไม้เก่าและมุ้งเก่าที่พอมี นำมาประกอบ สร้างเป็นโรงเรือนขนาดพอเหมาะ แม้ว่าไก่แจ้ขณะนั้นยังไม่เป็นที่นิยม แต่คุณสุมนและคุณพานทอง ก็พร้อมจะให้ไก่แจ้ขยายพันธุ์ตามปกติ อีกทั้งคุณสุมนยังใช้ความรู้เท่าที่มี บวกกับการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ทำตู้ฟักด้วยตัวเอง
ตู้ฟัก เป็นผลงานหนึ่งที่คุณสุมนภาคภูมิใจ เพราะคิดค้นขึ้นเอง และมีคนมาติดต่อขอซื้อ รวมถึงถาดให้อาหารไก่แจ้ คุณสุมนคิดรูปแบบขึ้นเอง เพื่อลดการสูญเสียอาหารที่เกิดจากไก่เขี่ยหล่นออกนอกกรง ซึ่งถือเป็นต้นทุนชนิดหนึ่ง และไม่หวงหากมีผู้มาพบแล้วจำรูปแบบไปทำบ้าง
คุณพานทอง บอกว่า วิชาความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่แจ้ในอดีตไม่แพร่หลาย ไม่มีใครอยากให้ข้อมูลเสมือนเป็นความลับ ทำให้เกิดผู้เลี้ยงรายใหม่ขึ้นน้อย แต่สำหรับคุณสุมนและคุณพานทอง เห็นว่า เมื่อมีประสบการณ์ก็ควรแบ่งปัน ถ่ายทอด และส่งเสริมให้มีการเลี้ยงไก่แจ้ สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการเลี้ยง จึงติดต่อและรวมกลุ่มคนเลี้ยงไก่แจ้ที่อยู่ใกล้เคียงและมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ก่อตั้งเป็นชมรมส่งเสริมผู้เลี้ยงไก่แจ้กรุงเทพ ขึ้น เมื่อปี 2531 และเปลี่ยนเป็นสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย ในภายหลัง
“พอเราได้ลูกไก่แจ้จำนวนมากขึ้น ต้นทุนการเลี้ยงก็สูงขึ้น จึงตัดสินใจนำลูกไก่แจ้ใส่กล่องตั้งใจไปขายตลาดนัดจตุจักร พอไปถึงพ่อค้าบอกไม่รับซื้อ จนญาติที่รู้จักขอร้องให้พ่อค้ารับซื้อจากเราไป ทำให้พ่อค้าซื้ออย่างเสียไม่ได้ เราก็ต้องขายเหมาในราคาที่ไม่ดีนัก ทั้งที่รู้ว่าของเราเป็นของดี แต่ก็ต้องง้อพ่อค้า ต้องยอมให้กดราคา”
ครั้งนั้น ทำให้คุณพานทอง กลับมาคิดว่า ไก่แจ้พันธุ์ดี ไม่ควรถูกกดราคาด้วยการรับซื้อเช่นนี้ จึงควรให้ผู้ซื้อหรือคนที่ต้องการเลี้ยงไก่แจ้จริงๆ เดินมาหามากกว่า วิธีหนึ่งที่คิดได้และมั่นใจว่า เป็นการส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย ตามวัตถุประสงค์ของสมาคมคือ การประกวดไก่แจ้ ซึ่งขณะนั้นมีการจัดการประกวดบ้าง ไม่บ่อยนัก ยิ่งเมื่อได้สัมผัสงานประกวดไก่แจ้ โดยคุณสุมนอุ้มไก่แจ้ 2 ตัวที่เลี้ยงไว้ ไปสมัครประกวดที่จังหวัดลพบุรี และครั้งนั้นเองที่คุณสุมนและคุณพานทองมั่นใจได้ว่า ไก่แจ้ที่มีอยู่ เป็นไก่แจ้ที่มีรูปร่างลักษณะได้มาตรฐานไก่แจ้ไทยที่ดี เพราะคว้าถ้วยรางวัลยอดเยี่ยมถึง 3 ถ้วย กลับมา
การจัดงานประกวดไก่แจ้ โดยสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย จึงมีขึ้นหลังจากนั้น โดยจัดขึ้นที่สุเหร่า มีผู้สนใจนำไก่แจ้เข้าร่วมประกวดกว่า 100 ตัว รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายมอบให้กับสุเหร่าทั้งหมด ซึ่งหลังงานประกวดทำให้ทราบว่า มีผู้สนใจเลี้ยงไก่แจ้จำนวนมาก และควรได้รับการส่งเสริมให้ไก่แจ้เป็นสัตว์เลี้ยงระดับแถวหน้าเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น โดยเฉพาะความรู้และประสบการณ์การเลี้ยงไก่แจ้ ควรมีการถ่ายทอดให้แก่ผู้สนใจ เพื่อให้ไก่แจ้ไทยได้มีพื้นที่ดีๆ ในสังคม
หลังงานประกวดที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทยครั้งแรกผ่านไป ความสำเร็จที่ได้รับ ทำให้การจัดงานประกวดครั้งต่อมามีขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน ต่อครั้ง
“แรกๆ เราจัดงานประกวดที่สุเหร่า บ่อยครั้งเราเปลี่ยนสถานที่จัดเป็นโรงเรียนบ้าง เพราะหลังงานประกวดจบลง รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายก็มอบให้กับสุเหร่าหรือโรงเรียน สิ่งหนึ่งที่คนนำไก่แจ้มาประกวด เพราะหลังการประกวดจบ เงินค่าสมัครที่จ่ายไปก็เหมือนเป็นการทำบุญมอบให้กับสุเหร่าหรือโรงเรียนด้วย”
คุณพานทอง แบ่งปันเทคนิคการเลี้ยงไก่แจ้ให้ได้ดี โดยให้ข้อมูลว่า ไก่แจ้ยังคงเป็นอาชีพหนึ่งที่ยังไปได้ดีในปัจจุบัน ผู้เลี้ยงควรรักที่จะเลี้ยง เพราะการเลี้ยงไก่แจ้ต้องใส่ใจในทุกเรื่อง การเลี้ยงไม่ยาก แต่การใส่ใจในการเลี้ยงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ถ้าต้องการเลี้ยงเล่นก็ต้องเริ่มจากรักและชอบมาก่อนเช่นเดียวกัน ส่วนจำนวนเลี้ยงจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เลี้ยง เพราะไก่แจ้สามารถเลี้ยงรวมกันได้เมื่อไก่ยังเล็ก แต่ถ้าไก่เริ่มโตจำเป็นต้องแยกกรงเลี้ยงเป็นคู่ ต้องใช้พื้นที่ รวมถึงต้องเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ เช่น การเลี้ยงรวมกันเพื่อหาไก่เก่ง ไก่เก่งจะออกฟอร์มเมื่อเลี้ยงรวมหลายตัว เมื่อรู้ว่าตัวไหนเก่งก็ให้แยกออกมา เพราะหากปล่อยไว้ไก่ที่เลี้ยงรวมกัน หงอนจะเล็กและหางตก
กรงสำหรับไก่แจ้ 2 ตัว ควรมีขนาดกว้างพอให้ไก่ได้วิ่งเล่น คือ 80×100 เซนติเมตร หรือกว้างกว่านี้สำหรับกรงผสม แต่ขนาดกรงที่ให้ไว้เป็นขนาดที่ผู้เลี้ยงต้องพิจารณาพฤติกรรมไก่ร่วมด้วยว่าเหมาะหรือไม่ อาจต้องกว้างกว่านี้หรือเล็กกว่านี้ก็ได้ เช่น ไก่แจ้ตัวผู้ที่ชอบไล่ไก่แจ้ตัวเมีย ก็ควรมีพื้นที่กว้างมากพอให้ตัวเมียได้วิ่งหนีหรือหลบเพื่อกินอาหารและพักผ่อนบ้าง แต่ถ้าไก่แจ้เป็นตัวที่คัดไว้เพื่อประกวด ก็จะไม่ให้ผสม เพราะอาจทำให้ฟอร์มไก่เสียรูป จำเป็นต้องเลี้ยงกรงเดี่ยว เพื่อให้ไก่ออกฟอร์ม
คุณพานทอง ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการเลี้ยงไก่แจ้คือ ความสะอาด ซึ่งหมายถึงความสะอาดของกรง โรงเรือน และตัวไก่แจ้เอง
กรง และโรงเรือน ทำความสะอาดได้ทุกวัน เก็บขี้ไก่ เก็บขนไก่ เพราะไก่กินทุกวัน ถ่ายทุกวัน หากไม่ทำความสะอาดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องทำ หากไม่ทำ ขี้ไก่จะหมักหมมและกลายเป็นความสกปรก สุดท้ายอาจทำให้ไก่ป่วย
ส่วนตัวไก่แจ้ โดยธรรมชาติของไก่ถ้ามีไรจะไซ้ขนตัวเอง หรือให้คู่อีกตัวที่อยู่ด้วยกันไซ้ หากไรทำให้ไก่คันมาก ไก่อาจจะจิกตัวเองหรือให้คู่อีกตัวจิกจนขนหลุดก็มี ดังนั้น ควรอาบน้ำให้ไก่อยู่เสมอ เหมือนการอาบน้ำในสัตว์ทุกชนิดโดยการราดน้ำ ฟอกสบู่ จากนั้นล้างน้ำสบู่ออกให้หมด นำไปเป่าขนด้วยไดร์ให้แห้ง หรือกรณีที่อากาศร้อน ควรเช็ดตัวให้หมาดแล้วปล่อยเข้ากรงให้ขนแห้งเอง ทั้งนี้ ทุกขั้นตอนควรทำด้วยความรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานโอกาสไก่ป่วยก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
“ที่ฟาร์มจะอาบน้ำไก่อยู่เสมอ แชมพูที่ใช้จะเป็นกลุ่มสมุนไพร เพื่อป้องกันหากไก่จิกหรือไซ้ขนตัวเอง จะปลอดจากสารเคมี เราต้องคิดว่า เราเลี้ยงไก่ เราอุ้มไก่ ถ้าไก่มีไรก็จะไต่ตัวคนอุ้ม แต่ถ้าอาบน้ำนอกจากไม่มีไรแล้ว ขนก็สวย เรียบ นุ่ม น่าจับ”
ปัจจุบันเรามีไก่แจ้ประมาณ 80 คู่ และจะจัดการฟาร์มให้มีจำนวนไก่ไม่มากกว่านี้ เพื่อความสะดวกในการดูแลให้ทั่วถึง เมื่อได้ลูกไก่ในแต่ละล็อตก็ต้องเลี้ยงไว้แล้วคัดลูกไก่ที่ลักษณะไม่ค่อยดี (อยู่ที่การพิจารณาของผู้เลี้ยง) นำไปขาย คัดไว้เฉพาะลูกไก่ที่มีลักษณะดี เก็บไว้เป็นพ่อแม่พันธุ์ หรือจะขายเองที่ฟาร์มก็ได้ ซึ่งลูกไก่ที่คัดออกจะนำไปขาย ได้ราคาตัวละ 20-50 บาท ก็พอใจในราคานี้แล้ว เพราะหากเขาไม่รับซื้อไว้ ลูกไก่เหล่านี้ก็จะตกเป็นภาระของฟาร์ม ซึ่งลูกไก่ที่ขายไปในราคา 20-50 บาท ต่อตัวนั้น พ่อค้าที่ซื้อไปอาจจะนำไปคัดต่ออีกครั้งแล้วนำไปขายในราคาที่แพงขึ้น ทำกำไรในการซื้อขายต่ออีกทอดหนึ่ง
คุณพานทอง กล่าวว่า พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไก่แจ้ที่มีประมาณ 80 คู่ ไม่ได้มีครบทุกสี มีเฉพาะสีตลาด คือสีที่ได้รับความนิยม เช่น ขาวหางดำ กระ เบญจรงค์ สามสี เป็นต้น และราคาขายไก่ของฟาร์มพานทอง จะขายราคาเริ่มต้นที่ตัวละ 500 บาท และไก่แจ้ทุกตัวก่อนรับออกจากฟาร์ม ต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานครบก่อน ผู้ซื้อจึงรับไปได้ และถ้าผู้ซื้อถูกใจไก่ตัวไหนในฟาร์ม เมื่อเราบอกราคาแล้วจะไม่คืนคำ ต้องขายตามราคาหากผู้ซื้อตอบตกลง แม้จะเป็นพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ที่อยากเก็บไว้เองก็ตาม และการซื้อขายตกลงราคา มีคุณสุมนทำหน้าที่ตรงนี้ ส่วนการทำหน้าที่ในสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย ยังคงเป็นหน้าที่ของคุณพานทองเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกที่ให้ความไว้วางใจหลายร้อยคน คุณพานทอง บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ และพร้อมจะส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย
ขอคำแนะนำหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณพานทอง สมานวิจิตร นายกสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย โทรศัพท์ (081) 823-7306 หรือ คุณสุมน สมานวิจิตร โทรศัพท์ (089) 205-6455 ติดตามความเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊กได้ที่ “ไก่แจ้สวยงาม นกฟิ้นเจ็ดสี” หรือเว็บไซต์ของสมาคมส่งเสริมและพัฒนาไก่แจ้ไทย http://www.bantamthai.org