โรงไฟฟ้าไทยสุดเจ๋ง!! กระบี่ / เทพา “ดีกว่า” ค่ามาตรฐานองค์การอนามัยโลก!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย Advertorial 17 ก.ค. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/663789

 

รู้ไหมว่า ฝุ่นขนาดเล็กมาก PM 2.5 จากโรงไฟฟ้ากระบี่/เทพา ปล่อยออกมาน้อยกว่าข้อแนะนำ WHO ฝุ่นละอองนับวันจะได้รับความตระหนัก และตื่นตัวถึงภัยอันตรายมากยิ่งขึ้น ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM10) และฝุ่นละเอียด หรือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ได้ ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่เกินค่ามาตรฐาน ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพของประชาชนในระยะยาว

บทความเรื่อง “ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน คือภัยคุกคามสุขภาวะของคนไทย” ของกรีนพีซ ด้านหนึ่งกระตุ้นให้สังคมไทยรับรู้และเข้าใจถึงอันตรายของฝุ่นขนาดเล็กต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลบางส่วนที่คลาดเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ เช่น ในประเด็นที่กล่าวว่า รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่มีส่วนใดที่กล่าวถึงมาตรการควบคุม PM2.5 หรือประเด็นโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นสาเหตุให้เกิด PM2.5 จากการทำปฏิกิริยาของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนในปริมาณมาก

การควบคุม PM2.5 จากการเผาไหม้ถ่านหิน

ประเด็นแรก โครงการโรงไฟฟ้าเทพาและกระบี่ ได้ประเมินผลกระทบและกำหนดมาตรการควบคุมฝุ่น PM2.5 ไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แล้ว ทั้งการควบคุมฝุ่นในบรรยากาศ และการตรวจวัดจากปากปล่อง

ในกรณี ฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศ รายงาน EHIA โครงการโรงไฟฟ้าเทพา ได้ประเมินความเข้มข้นฝุ่นละออง PM2.5 รอบโรงไฟฟ้า ที่จะเกิดขึ้นเฉลี่ย 24 ชั่วโมง จะมีค่าสูงสุด 16.28 ไมโครกรัม/ลบ.ม. และโครงการกระบี่อยู่ระหว่างการประเมินความเข้มข้นของฝุ่นละออง ซึ่งค่าดังกล่าวจะอยู่ภายใต้เกณฑ์แนะนำของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ลบ.ม. และดีกว่าค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศของไทย ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม.


กราฟเปรียบเทียบ ค่าประเมินความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศ หลังมีโครงการโรงไฟฟ้าเทพาเทียบกับมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศ

สำหรับการตรวจวัด PM2.5 จากปล่องโรงไฟฟ้านั้น ยังไม่มีค่ามาตรฐานกำหนดไว้ ทั้งของไทย และสากล อย่างไรก็ตาม ปริมาณ PM2.5 จากปล่องโรงไฟฟ้า สามารถอ้างอิงมาตรฐานของ US.EPA ที่เกิดจากการเผาถ่านหิน ในกลุ่ม bituminous และ sub-bituminous ที่ผ่านอุปกรณ์บำบัดฝุ่นชนิด Electrostatic Precipitator จะมี PM2.5 คิดเป็นร้อยละ 29 ของปริมาณฝุ่นละอองรวม ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้ง 2 โครงการ ได้กำหนดค่าควบคุมของฝุ่นละอองรวม (Particulate Matter: PM) จากปากปล่องไว้ ที่ 30 มิลลิกรัม/ลบ.ม. ซึ่งจะสามารถควบคุมฝุ่น PM2.5 ในบรรยากาศได้ตามเกณฑ์แนะนำของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ดังที่กล่าวมา

ทั้งนี้ มาตรการควบคุมมลภาวะที่กำหนดไว้ใน EHIA ถือเป็นพันธสัญญาที่ กฟผ. จะต้องปฏิบัติตลอดอายุโรงไฟฟ้า ในทางปฏิบัติโรงไฟฟ้าจะตั้งค่าสัญญาณเตือนจากอุปกรณ์ตรวจวัดการระบายมลสารของหน่วยผลิตในห้องควบคุม


ห้องควบคุมการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะ

กรณีสัญญาณเตือนระดับสูง ซึ่งตั้งค่าไว้ที่ร้อยละ 85 ของความเข้มข้น หรืออัตราการระบายมลสารที่ควบคุมไว้ พนักงานในห้องควบคุมจะตรวจสอบการทำงานของหน่วยผลิต และอุปกรณ์ควบคุมการระบายของมลสารของหน่วยนั้น พร้อมดำเนินการซ่อมแซม หรือแก้ไขความผิดปกติที่พบอย่างเร่งด่วน

กรณีสัญญาณเตือนระดับสูงมาก ซึ่งตั้งค่าไว้ที่ร้อยละ 95 พนักงานในห้องควบคุมจะทำการลดกำลังการผลิต หรือหยุดการผลิต โดยต้องปรับปรุงการทำงานของระบบควบคุมมลสารนั้นๆ ให้สามารถทำงานได้เป็นปกติก่อนจะเริ่มการผลิตต่อไป

การควบคุม PM2.5 จากกระบวนการทางเคมี

สำหรับประเด็น PM2.5 ที่เกิดจากกระบวนการทางเคมีในบรรยากาศที่มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน เป็นสารตั้งต้นอ้างอิงข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ นั้น


กราฟแสดงการประมาณการปล่อยมลพิษทางอากาศ (หน่วยเป็นตันต่อปี) จากแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่มา กรีนพีซ
ในทางวิชาการ ฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 ประกอบด้วย ฝุ่นปฐมภูมิ (Primary PM2.5) เกิดจากการเผาไหม้โดยตรง และฝุ่นทุติยภูมิ (Secondary PM2.5) เกิดจากปฏิกิริยาเคมีในบรรยากาศ โดยมีสารกลุ่มซัลเฟอร์ หรือกลุ่มไนโตรเจน และแอมโมเนียเป็นสารตั้งต้น

จากรายงานการศึกษาของกรมควบคุมมลพิษ ปริมาณก๊าซ SO2 และ NOx ที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 ดังกล่าว อยู่ภายใต้สมมติฐานกรณีเลวร้ายสุด (worse case) ซึ่งในความเป็นจริง ของกระบวนการผลิตของโรงไฟฟ้า ฝุ่นปฐมภูมิ จากการเผาไหม้ถ่านหินจะถูกดักจับโดยเครื่องดักฝุ่นไฟฟ้าสถิต (ESP) ที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 99.8–99.9 ซึ่งเครื่องดักฝุ่นไฟฟ้าสถิต จะสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้มากกว่าร้อยละ 96-98 สำหรับ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน (NOX) นั้น จะถูกกรองด้วยเครื่อง Selective Catalytic Reduction (SCR) ก่อนจะถึงเครื่อง ESP ทำให้เหลือปริมาณ NOX น้อยมาก ส่วน SO2 จะถูกบำบัดโดยเครื่อง Flue Gas Desulfurization (FGD) ทำให้เหลือก๊าซที่จะเกิดปฏิกิริยาก่อตัวเป็นฝุ่น PM2.5 ในปริมาณที่น้อยมากเช่นกัน


ผลการตรวจวัดปริมาณฝุ่นในบรรยากาศรอบบริเวณโรงไฟฟ้า เช่น โรงไฟฟ้าแม่เมาะมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในหมู่บ้านรอบโรงไฟฟ้าจำนวน 10 สถานี ล่าสุด ในเดือนธันวาคม 2558 ค่า PM10 มีความเข้มข้นเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ระหว่าง 8-65 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า PM2.5 คำนวณได้เฉลี่ย 3.5-28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดีกว่ามาตรฐานของประเทศ PM10 ในบรรยากาศไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ PM2.5 ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และสอดคล้องกับเกณฑ์แนะนำ (Guideline) ขององค์การอนามัยโลก



ผลการตรวจวัดฝุ่น PM10 ในบรรยากาศ รอบบริเวณโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ปี 2558 (ค่าฝุ่นเกินมาตรฐานในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เป็นช่วงที่มีปัญหาควันจากการเผาป่าและวัชพืช)

ผลการตรวจวัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง เดือนธันวาคม 2558 จากสถานีตรวจวัดรอบโรงไฟฟ้าแม่เมาะ มีค่าอยู่ระหว่าง 0–128 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ขณะที่ ค่ามาตรฐานของประเทศไทยกำหนดไม่เกิน 780 ไมโครกรัม/ลบ.ม. หรือดีกว่ามาตรฐาน 6 เท่าตัว ผลการตรวจวัดก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) มีค่าอยู่ระหว่าง 0–92 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ขณะที่ ค่ามาตรฐานฯ กำหนดไม่เกิน 320 ไมโครกรัม/ลบ.ม. หรือดีกว่ามาตรฐาน 3.5 เท่าตัว


การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในเชิงพาณิชย์มาใช้ในโรงไฟฟ้า และผลของการตรวจวัดอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากแหล่งผลิต ปล่องโรงไฟฟ้า และในบรรยากาศโดยรอบโรงไฟฟ้า เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า กฟผ. สามารถควบคุมมลภาวะทั้งฝุ่นขนาดเล็ก SO2 และ NO2 ได้ดีกว่ามาตรฐานของประเทศ และอยู่ภายใต้เกณฑ์แนะนำขององค์การอนามัยโลก


กระนั้นก็ตาม กฟผ. ยังได้ร่วมรณรงค์ ตรวจสอบ เพื่อลดปัญหาฝุ่นควันจากแหล่งกำเนิดต่างๆ ในพื้นที่แหล่งผลิตไฟฟ้าอีกทางหนึ่ง เพื่อให้มีคุณภาพอากาศและสุขภาพที่ดีของชุมชน และประชาชนโดยทั่วไป

www.egat.co.th

 

Leave a comment