เรียนจากสิ่งที่ชอบ เพื่ออาชีพที่ใช่@’ราชประชานุเคราะห์32′

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/231497

ราชประชานุเคราะห์
ราชประชานุเคราะห์
ราชประชานุเคราะห์

การศึกษา-สาธารณสุข >ข่าวการศึกษา-สาธารณสุข  : 28 มิ.ย. 2559

เรียนจากสิ่งที่ชอบ เพื่ออาชีพที่ใช่@’ราชประชานุเคราะห์32′

เรียนจากสิ่งที่ชอบ เพื่ออาชีพที่ใช่@’ราชประชานุเคราะห์32′ : ทีมข่าวการศึกษา0รายงาน

          “90% ของนักเรียนโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32 เป็นเด็กในกลุ่มครอบครัวฐานะยากจน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหนึ่งของการก่อตั้งโรงเรียน เพื่อสนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะสงเคราะห์เด็กและเยาวชนที่มีฐานะยากจน ยากไร้ทางเศรษฐกิจและสังคม ให้ได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

เด็กอีก 10% มาจากหลากหลายกลุ่มปัญหา เรียกว่าครบทั้ง 10 ประเภท ที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทุกแห่งต้องดูแลคือ 1.เด็กที่ถูกบังคับใช้แรงงาน หรือแรงงานเด็ก 2.เด็กเร่ร่อน 3.เด็กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางเพศหรือโสเภณีเด็ก 4.เด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง 5.เด็กถูกทำร้ายทารุณ 6.เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน(มากเป็นพิเศษ) ครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อปี 7.เด็กจากชนกลุ่มน้อย 8.เด็กที่ถูกผลกระทบจากยาเสพติด 9.เด็กที่ถูกผลกระทบจากโรคเอดส์หรือโรคติดต่อร้ายแรงที่สังคมรังเกียจ และ 10.เด็กในสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน” นายพันคำ ศรีพรม ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32 กล่าว

โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32 ตั้งอยู่ที่ ต.กระโสบ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี ซึ่งต้องดูแลเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาส มีความไม่พร้อมในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และจังหวัดใกล้เคียง ถือเป็นโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนการสอนโดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง

นายพันคำ เล่าว่า โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนระดับชั้น ป.1-ม.6 มีทั้งหมด 27 ห้องเรียน มีนักเรียน 787 คน ครู 40 คน ครูอัตราจ้าง 1 คน การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนจะยึดความต้องการของเด็กเป็นหลัก เริ่มจากสำรวจความต้องการของเด็กทุกคน พบว่า “การมีอาชีพติดตัว สามารถเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดได้” เป็นคำตอบที่เด็กเลือกมากที่สุด เมื่อได้คำตอบแล้วโรงเรียนจึงได้จัดทำโครงการขึ้นมา 3 โครงการ คือ 1.โครงการส่งเสริมความสามารถของนักเรียนสู่ความเป็นอัจฉริยะ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น และได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากการแข่งขันทักษะทางวิชาการในระดับต่างๆ

2.โครงการฝึกทักษะอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยนำมาปฏิบัติในโครงการส่งเสริมทักษะอาชีพ ประกอบด้วย การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ สหกรณ์โรงสีข้าว เป็นต้น และ 3.โครงการสร้างเสริมอาชีพอิสระและความสามารถที่หลากหลาย เช่น โครงการธนาคารโรงเรียน โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล โครงการสานฝันสิ่งแวดล้อม โครงการส่งเสริมความสามารถทักษะด้านกีฬา โครงการการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ซึ่งทั้ง 3 โครงการนี้กลายเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าภาคภูมิใจในปี 2558 และนำมาต่อยอดในปี 2559

“การเรียนทักษะอาชีพ สามารถบูรณาการการเรียนรู้ลงไปในสาระวิชาตามหลักสูตรได้ทุกวิชา เพราะเด็กเป็นผู้เลือกเอง ทำให้เด็กสนใจเรียนโดยไม่รู้ตัว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้น โดยการนำโครงการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมาจับ และใช้วิธีการลงนามความร่วมมือ(เอ็มโอยู) ระหว่าง 1. ครูกับผู้บริหาร 2.ครูกับนักเรียน และ 3.ครูกับผู้ปกครอง โดยตั้งเป้าหมายร่วมกันว่า ทุกวิชาผลสัมฤทธิ์ต้องเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 เป็นกระบวนการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไปพร้อมกันแบบมีส่วนร่วมทุกฝ่าย” นายพันคำ กล่าว

สองสาว ชั้น ม.6 ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการฝึกทักษะอาชีพตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง น.ส.ดวงฤทัย ฝางแก้ว และ น.ส.นวลนารี หลักทอง เล่าว่า เข้าร่วมโครงการมา 1 ปีกว่า เลือกเรียนรู้การปลูกมะนาว ซึ่งปลูกได้ 161 ต้น บนเนื้อที่ 2 ไร่ เก็บขายลูกละ 3 บาท ที่สำคัญนำความรู้ใหม่ๆ ที่คุณครูสอน ไปบอกพ่อแม่ที่มีอาชีพเป็นเกษตรกรปลูกข้าว รวมถึงบอกชุมชนด้วย ที่โรงเรียนยังสอนอาชีพอื่นๆ เช่น การปลูกข้าว เลี้ยงวัว การทำขนม เสริมสวยตัดผม ทำให้ตัดผมได้หลายทรงและช่วยตัดให้น้องๆ ในโรงเรียนด้วย

“โรงเรียนให้ความรู้ ให้โอกาสแก่เด็กที่ด้อยโอกาสอย่างพวกเรา ให้ได้มีความรู้ในเชิงวิชาการ ที่่พิเศษมีการแนะแนวอาชีพให้เด็กได้เห็นเป้าหมายและทิศทางของตนเอง สามารถมีอาชีพติดตัว ทำให้เราเอาชีวิตรอดอยู่ในสังคมได้ ทุกคนอยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้องเป็นครอบครัว นับเป็นอัตลักษณ์พิเศษของเด็กราชประชานุเคราะห์” ทั้งสองสาวกล่าว

ส่วนนายธนากรณ์ สมนึก นักเรียนชั้นม.6 เล่าไปด้วยชงกาแฟไปด้วยว่า ชอบการเรียนรู้ที่เน้นอาชีพ จึงเลือกเรียนตั้งแต่ชั้นม.5 ชอบเรียนมากที่สุดคือการทำขนม ทำเค้ก ทำคุกกี้ เรียนแล้วมีความสุขได้ความรู้ที่หลากหลาย

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะศึกษาธิการภาค 13 เปิดเผยขณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ร.ร.ราชประชานุเคราะห์ 32 ว่า เห็นด้วยที่โรงเรียนสอนทักษะอาชีพ แต่ต้องค้นหาความโดดเด่นของราชประชานุเคราะห์ 32 ให้ได้ อีกทั้งอย่าสอนวิชาการ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาไทย และสอนทักษะอาชีพ การทำเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำกาแฟ เบเกอรี่ ในลักษณะเป็นวิชาๆ แบบแยกส่วน แต่ครูต้องสอนแบบบูรณาการทั้งสองส่วนควบคู่กันไป เช่น การปลูกมะนาว สามารถสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เคมี คณิตศาสตร์ ไปพร้อมๆ กันได้ สัดส่วนของน้ำ การกรองแสงของพืช ความเป็นกรด เบส ของดิน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดความไม่ชอบการเรียนในบางวิชาได้ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์

“ผมแนะนำให้ผู้บริหารทำให้เป็นงานปกติของโรงเรียน ถ้ายิ่งอยากให้ผลสัมฤทธิ์นักเรียนก้าวกระโดด ต้องเปลี่ยนทัศนคติและวิธีการสอนของครูใหม่ด้วย โดยเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้มากขึ้น แม้จะเป็นเรื่องยากแต่เป็นความท้าทายของผู้บริหารในการเปลี่ยนครู เนื่องจากองค์ความรู้ปัจจุบันไม่สามารถนำไปแก้ปัญหาในอนาคตได้ จึงต้องสอนรูปแบบวิธีการใหม่ๆ เพื่อนำความรู้ในอนาคตไปแก้ปัญหาในอนาคต เพราะแนวโน้มโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น หากไม่ปรับเด็กจะรับไม่ทัน” ดร.บัณฑิตย์ กล่าว

“ราชประชานุเคราะห์ 32” สถานศึกษาในสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้เติมเต็มความรู้ ทักษะวิชาชีพ “เด็กเรียนจากสิ่งที่ชอบ เพื่ออาชีพที่ใช่”

 

Leave a comment