พาไปเที่ยวแบบฟินฟิน @ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่เยอรมนี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย Advertorial 25 ก.ค. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/669809

 

เมืองเบียร์ หรือ สหพันธรัฐเยอรมนี ได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวและเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าระดับต้นๆ ของโลก ที่มีทั้งโรงไฟฟ้าแทบทุกประเภท ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน อย่าง ลม และแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ปิดตัวลง …เยอรมนี จึงเป็นประเทศหนึ่งที่มักถูกหยิบยกมาเป็นตัวอย่างและนิยมพาไปศึกษาดูงานในเรื่องของพลังงาน


เยอรมนีเป็นประเทศที่ใหญ่ มีเศรษฐกิจดีเป็นอันดับต้นๆ ของยุโรป มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 84,490 เมกะวัตต์ (ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2014) ในขณะที่มีกำลังผลิตติดตั้งทั้งหมด 177,750 เมกะวัตต์ โดยมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหลัก 89,570 เมกะวัตต์ คือ ถ่านหิน (Brown Coal และ Hard Coal) 49,060 เมกะวัตต์ ก๊าซ 28,440 เมกะวัตต์ ซื้อนิวเคลียร์จากฝรั่งเศส 12,070 เมกะวัตต์ นอกนั้นเป็นพลังงานทดแทน คือ ลม 3,350 เมกะวัตต์ แสงอาทิตย์ 6,320 เมกะวัตต์ ชีวมวล 8,790 เมกะวัตต์ และน้ำ 5,590 เมกะวัตต์


จะเห็นว่าเยอรมนีมีปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงมากเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงมีการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหลักประเภทฟอสซิลมาก เนื่องจากพลังงานทดแทนมีข้อจำกัดทางธรรมชาติ ถึงแม้จะมีกำลังผลิตติดตั้งมากก็จริง แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด จึงมีความจำเป็นต้องใช้ถ่านหินและซื้อพลังงานนิวเคลียร์มาจากฝรั่งเศส


การเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังเมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ใช้เวลาเดินทาง 11 ชั่วโมง หลับบ้าง ดูหนังบ้างตามอัธยาศัย จนมาถึงเมืองแฟรงก์เฟิร์ต   เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจ และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้คนสัญจรไปมาปีละเกือบ 2 ล้านคนในปัจจุบัน

Minova โรงไฟฟ้ากลางใจเมือง


โรงไฟฟ้าแห่งแรกที่จะพาไปชมกัน เป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไมน์ อยู่ติดกับคอนโดมิเนียม สำนักงาน แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งช็อปปิ้งแบรนด์เนมชื่อดัง ตอนแรกไม่รู้ว่าโรงไฟฟ้า Minova เป็นโรงไฟฟ้าประเภทใด จนกระทั่งรถขับวนให้ดูโดยรอบ มาเจอลานกองถ่านหินมหึมาอยู่ข้างถนน จึงถึงบางอ้อ ว่าเป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน …ไม่น่าเชื่อว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นจะอยู่ใจกลางเมืองเศรษฐกิจ และใกล้กับชุมชนนั้นมีจริง


โรงไฟฟ้า Minova เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ทั้งถ่านหินและก๊าซเป็นเชื้อเพลิง โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง มีกำลังผลิต 62 เมกะวัตต์ จำนวน 2 เครื่อง และใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงมีกำลังผลิต 99 เมกะวัตต์ จำนวน 1 เครื่อง โรงไฟฟ้าแห่งนี้ด้านหนึ่งอยู่ติดถนน อีกด้านอยู่ริมแม่น้ำไมน์ ที่ตั้งคล้ายๆ กับโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ส่วนหนึ่งใช้ถ่านหินนำเข้าจากอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งขนส่งมาทางเรือจากแม่น้ำไรน์ มาสู่แม่น้ำไมน์ ที่อยู่หน้าโรงไฟฟ้า อีกส่วนหนึ่งใช้การขนส่งด้วยรถไฟ และมาพักไว้ที่ลานกองถ่านหินสำรองแบบเปิด และไซโลสำหรับเก็บถ่านหินไว้ใช้งาน

ซึ่งโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 อยู่ร่วมกับชุมชนเมืองอย่างไม่มีปัญหา ไม่มีการร้องเรียน มีการกำหนดอัตราการปล่อยมลสารสู่บรรยากาศที่เข้มงวด คือ ค่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์น้อยกว่า 70 ส่วนในล้านส่วน ค่าไนโตรเจนออกไซด์น้อยกว่า 97 ส่วนในล้านส่วน ค่า Particulates 10 มิลลิกรัม/ลบ.ม. และการควบคุมอุณหภูมิการปล่อยน้ำ ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียสลงสู่แม่น้ำ ซึ่งโรงไฟฟ้าปฏิบัติได้ตามมาตรฐาน

GHK Mannheim โรงไฟฟ้าท่ามกลางชุมชน


ต่อจากนั้น เราก็เดินทางมุ่งสู่เมืองแมนไฮม์ เพื่อไปดูโรงไฟฟ้า GHK Mannheim ที่อยู่ติดแม่น้ำไรน์ ฝั่งตรงข้ามโรงไฟฟ้าเป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ารัก คล้ายเมืองตุ๊กตา ช่วงที่ไปดูงานเป็นช่วงอากาศหนาว ใบไม้ร่วงหมดแล้ว ถ้าเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่คงสวยน่าดู  อีกด้านของโรงไฟฟ้าก็มีชุมชนอยู่รายรอบ ทั้งๆ ที่โรงไฟฟ้านี้ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นถ่านหินประเภทซับบิทูมินัสนำเข้าจากประเทศแอฟริกาใต้ ขนส่งผ่านมาจากท่าเรือ Rotterdam และมาขึ้นที่ท่าเรือของโรงไฟฟ้า มาพักไว้ที่ลานถ่านหินแบบเปิด ซึ่งใช้น้ำพรมเพื่อป้องกันการกระจายของฝุ่นละออง


โรงไฟฟ้าแห่งนี้ มีกำลังผลิตทั้งสิ้น 2,586 เมกะวัตต์ จำนวน 4 เครื่อง มีผู้ประกอบการ คือ Grosskraftwerk Mannheim Aktiengesellschaft รับผิดชอบโรงไฟฟ้าหน่วยที่ 3 (220 เมกะวัตต์), หน่วยที่ 4 (220 เมกะวัตต์) เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี Sub-Critical หน่วยที่ 6 (280 เมกะวัตต์), หน่วยที่ 7 (475 เมกะวัตต์) และหน่วยที่ 8 (480 เมกะวัตต์) เป็นแบบ Super Critical สำหรับโรงที่ 9 เป็นไฮไลต์ที่พามาดูงาน เป็นแบบ Ultra-Super-Critical ขนาดกำลังผลิต 911 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นตัวอย่างการสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ในประเทศไทย


ที่เยอรมนีถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นเกือบติดลบ บางครั้งฝนยังตกด้วย คงแทบไม่ต้องบรรยายว่าหนาวแค่ไหน ซึ่งคนเยอรมันต้องเจอกับสภาพอากาศแบบนี้ปีละ 5-6 เดือน โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1966 อยู่ร่วมกับชุมชนเมืองอย่างไม่มีปัญหา ไม่มีการร้องเรียน ด้วยทางบริษัทเข้าไปสื่อสารสร้างความเข้าใจในชุมชนตั้งแต่ก่อนสร้างโรงไฟฟ้า และเปิดโอกาสให้ชุมชนมาเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า และประการสำคัญคือมีการนำไอร้อนจากหอหล่อเย็นไปทำน้ำอุ่นและส่งไปยังชุมชนรอบโรงไฟฟ้าในช่วงอากาศหนาว โดยคิดค่าใช้จ่ายในราคาถูก… ชุมชนที่นี่จึงยิ้มรับเมื่อมีโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่


อีกทั้งโรงไฟฟ้ามีการกำหนดอัตราการปล่อยมลสารสู่บรรยากาศที่เข้มงวด คือ ค่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์น้อยกว่า 70 ส่วนในล้านส่วน ค่าไนโตรเจนออกไซด์น้อยกว่า 98 ส่วนในล้านส่วน ค่า Particulates 20 มิลลิกรัม/ลบ.ม. และการควบคุมอุณหภูมิการปล่อยน้ำ ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียสลงสู่แม่น้ำ ซึ่งโรงไฟฟ้าปฏิบัติได้ตามมาตรฐาน ทำให้ไม่มีปัญหากับชุมชน

RDK Karlsruhe โรงไฟฟ้าใกล้ป่าสนดำ

เช้าวันรุ่งขึ้น ได้เดินทางต่อไปยังเมือง Karlsruhe เพื่อไปชมโรงไฟฟ้า RDK Karlsruhe ในระหว่างทางผ่านโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่ ในช่วงฤดูหนาวหิมะตกปกคลุมแผงโซลาร์ขาวโพลน ทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมเยอรมันจึงยังต้องใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก เพราะถ้าไม่มีแสงอาทิตย์ โซลาร์ฟาร์มก็ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ แต่โรงไฟฟ้าถ่านหินผลิตไฟฟ้าได้ทุกฤดูกาล


โรงไฟฟ้า RDK Karlsruhe มีขนาด 1,815 เมกะวัตต์ มี 2 ยูนิต ใช้ถ่านหินประเภทซับบิทูมินัสเป็นเชื้อเพลิง กำลังผลิตรวม 1,462 เมกะวัตต์ และอีกชุดหนึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขนาด 353 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อยู่ใกล้ชุมชน ใกล้ป่าสนดำ (ซึ่งเป็นไม้ที่มีชื่อเสียงในการนำมาทำนาฬิกากุ๊กกูที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี) และใกล้แหล่งอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งนี้ เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ทันสมัย สำหรับเครื่องล่าสุด กำลังผลิต 912 เมกะวัตต์ ใช้เทคโนโลยี Ulra-Super Critical ทำให้มีประสิทธิภาพ และมีการกำหนดอัตราการปล่อยมลสารสู่บรรยากาศเข้มงวด


เมื่อได้ขึ้นไปชมโรงไฟฟ้าตรงจุดชมวิว ทำให้เห็นภาพโดยรอบว่า โรงไฟฟ้านั้นตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนที่รายล้อมด้วยบ้านเรือน ป่า แม่น้ำที่เห็นเรือขนส่งถ่านหินแบบเปิด แล่นผ่านไปมาจนชินตา และมาพักไว้ที่ลานกองถ่านหินแบบเปิดอีกด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้คณะดูงานมีความเข้าใจเรื่องของโรงไฟฟ้าถ่านหินเทคโนโลยีสะอาด ว่าสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างไม่มีปัญหา


ดูโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เยอรมนีถึง 3 โรง ล้วนแต่อยู่ท่ามกลางชุมชน ติดแม่น้ำ ขนส่งด้วยเรือขนถ่านแบบเปิด และมาพักไว้ที่ลานกองถ่านหินแบบเปิดอีก ไม่ได้มีที่ปกปิดมิดชิด… แต่ชาวเยอรมนีก็ไม่รู้สึกกังวล ยังใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ฟินฟิน ใกล้โรงไฟฟ้า อย่างมีความสุข เมื่อได้มาเห็นกับตา

ก็ต้องยอมรับว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินกับชุมชนนั้นอยู่ร่วมกันได้จริงๆ อย่างไม่มีปัญหา…

จริงอย่างที่เขาว่า “A PICTURE IS WORTH A THOUSAND WORDS…ภาพหนึ่งแทนคำพูดได้นับพัน”

 

Leave a comment