เยาวชนเกษตรของแท้ โรงเรียนบ้าน กม.35 แค่ปีเดียว คว้ารางวัลสถานศึกษาพอเพียง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05091010359&srcday=2016-03-01&search=no

วันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 618

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

เยาวชนเกษตรของแท้ โรงเรียนบ้าน กม.35 แค่ปีเดียว คว้ารางวัลสถานศึกษาพอเพียง

ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้โรงเรียนบ้าน กม.35 เลขที่ 1 หมู่ที่ 14 ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ ไม่ได้ก่อตั้งกลุ่มยุวเกษตรกร หรือมีความโดดเด่นในกิจกรรมด้านเกษตรมาก่อน ทั้งที่โรงเรียนก่อนตั้งมานาน ประมาณ 40 ปีแล้ว และปัจจุบัน โรงเรียนบ้าน กม.35 ยังคงเป็นสถานศึกษาระดับอนุบาลถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เด็กในเขตพื้นที่อำเภอหนองไผ่ อำเภอชนแดน ต้องการที่นั่งในโรงเรียนบ้าน กม.35 เมื่อไม่สามารถสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนประจำอำเภอได้ และโรงเรียนบ้าน กม.35 ก็พร้อมอ้าแขนรับนักเรียนที่ไม่จัดอยู่ในระดับหัวกะทิ แต่มีทักษะในการใช้ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เพียงแต่น่าประหลาดใจตรงที่ พื้นที่ทางการเกษตรของโรงเรียนบ้าน กม.35 เพิ่งเริ่มอย่างจริงจังได้เพียง 1 ปี เท่านั้น

ในเหตุผลหลายประการ อาจารย์ลำพึง วิมลเศรษฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้าน กม.35 บอกว่า ปัจจัยที่ทำให้กิจกรรมภาคการเกษตร เพิ่งได้ริเริ่มเมื่อครั้งที่อาจารย์ลำพึงเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ก็เพราะจำนวนนักเรียนมาก ทำให้ต้องเพิ่มอาคารเรียน และแนวนโยบายหลักของโรงเรียนบ้าน กม.35 คือ ครูต้องอยู่สอนในห้องเรียนและมีกิจกรรมภายในวิชาเรียนให้มากกว่ากิจกรรมอื่นนอกรั้วโรงเรียน ทำให้วิชาการของโรงเรียนบ้าน กม.35 ไม่เป็นรองใคร จะขาดก็เพียงห้องเรียนและอาคารเรียนที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนที่มากขึ้นในทุกชั้นปี

อาจารย์ลำพึง เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนตั้งแต่ปลายปี 2556 มุมมองหนึ่งที่อาจารย์ลำพึงมีไม่เหมือนใคร คือ การส่งเสริมความรู้นอกห้องเรียน แต่ยังอยู่ภายในพื้นที่ของโรงเรียน และเป็นกิจกรรมที่พัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวของนักเรียนเอง ซึ่งกิจกรรมในภาคเกษตร จะเป็นสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ลำพึงมองว่า จะช่วยพัฒนาทักษะให้กับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

“ผมเข้ามาทำหน้าที่ผู้บริหารโรงเรียนนี้ ขณะนั้นมีแปลงดอกมะลิ และปลูกผักบ้างนิดหน่อย แต่ก็ถูกรื้อ เพราะต้องใช้พื้นที่ในการก่อสร้างอาคารเรียน ทำให้ไม่มีแปลงเกษตรหลงเหลืออยู่เลย เมื่อผมเข้ามาทำหน้าที่ ก็อยากให้โรงเรียนมีพื้นที่เกษตร สิ่งที่คำนึงถึงคือ การดำเนินกิจกรรมในรูปแบบเศรษฐกิจพอเพียง จึงตั้งใจเริ่มเขียนโครงการ เริ่มจากการเลี้ยงไก่ไข่”

อาจารย์ลำพึง เขียนโครงการเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ไข่ในโรงเรียน เชื่อมโยงกับโครงการอาหารกลางวันที่โรงเรียนมีอยู่แล้ว มุ่งเน้นให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ เสนอโครงการไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 3 และได้รับอนุมัติงบประมาณมา จากนั้นสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ ซื้อไก่ไข่ จำนวน 100 ตัว จากนั้นเมื่อไก่ให้ผลผลิตก็นำเข้าโครงการอาหารกลางวัน เมื่อมีผลกำไรก็นำเข้าโครงการ เพื่อหมุนเวียนใช้สำหรับการเลี้ยงไก่ไข่ต่อไป

พื้นที่โรงเรียนบ้าน กม.35 มีเพียง 23 ไร่ นักเรียน มี 996 คน บุคลากรทางการศึกษา 48 คน ในจำนวนนี้ แบ่งพื้นที่สำหรับภาคเกษตรประมาณ 1 ไร่เศษ แต่มากไปด้วยกิจกรรมหลากหลาย ที่สามารถแบ่งฐานให้นักเรียนได้เรียนรู้สลับสับเปลี่ยนกันไปตามต้องการ

ในอดีต วิชาเลือกของนักเรียนจะเป็นวิชาคอมพิวเตอร์ เมื่ออาจารย์ลำพึงเข้ามา เล็งเห็นว่า วิชาเลือก ควรเป็นวิชาที่เด็กได้ผ่อนคลาย ไม่ต้องคร่ำเคร่งกับวิชาการมากนัก และนักเรียนที่มีทักษะในการเรียนวิชาการน้อย จะได้สนุกไปกับกิจกรรมที่เสริมทักษะผ่านการเรียนรู้ด้วยตัวของนักเรียนเอง จึงปรับวิชาเลือกเป็นวิชาเกษตร และให้นักเรียนในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นทั้งหมด จำนวน 127 คน เป็นหลักในการดูแลกิจกรรม และให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษา เข้าศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของตนเองในวิชาเรียน

พื้นที่เพียง 1 ไร่เศษ สามารถจัดกิจกรรมในภาคเกษตรได้มากกว่าที่คิด เริ่มจากโรงเรือนไก่ไข่ เลี้ยงไก่ไข่ จำนวน 200 ตัว สามารถเก็บไข่ได้ วันละ 150-170 ฟอง เลี้ยงกบนาในบ่อซีเมนต์ ปัจจุบัน เลือกซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เพื่อเพาะพันธุ์ ขายพันธุ์ และขายเนื้อกบเมื่อโตเต็มวัย เลี้ยงปลาทับทิม 200 ตัว ในบ่อซีเมนต์ เลี้ยงปลาไหล 5 กิโลกรัม ในบ่อซีเมนต์ เลี้ยงปลานิลจิตรลดาในบ่อซีเมนต์

สำหรับการปลูกพืช ประกอบด้วย การปลูกชะอม จำนวน 200 ต้น แก้วมังกร จำนวน 30 หลัก ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ในกระถาง จำนวน 200 กระถาง ปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ในบ่อซีเมนต์ จำนวน 60 วง ปลูกถั่วเขียวพื้นที่ 30 ตารางวา เป็นตัวอย่างของการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ปลูกข่า ตะไคร้ ดอกอัญชัน มะม่วง มะขามยักษ์ และมะละกอ ทั้งหมดปลูกคละกันเพื่อให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้

“หลังจากเปลี่ยนวิชาเลือกจากวิชาคอมพิวเตอร์มาเป็นวิชาเกษตร ผมเห็นเลยว่า เด็กมีความสุขมากขึ้นเยอะ เด็กทำกิจกรรมในแปลงเกษตรได้ดีในทุกกิจกรรม ความสุขของเด็กเริ่มเกิดขึ้น เด็กไม่เครียด เขาพอใจกับการเรียนตามต้นไม้ การแบ่งงานกับเพื่อน การได้ลงมือทำ เด็กจะเรียนรู้ด้วยตนเอง เช่น ไก่ไม่ไข่ เด็กจะจดบันทึก หาสาเหตุ และสุดท้ายเมื่อหาสาเหตุได้ก็เท่ากับเด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง มีทักษะในการคิดและมีเหตุผลมากขึ้น”

อาจารย์จำรูญ พะแพง ครูผู้สอนวิชาเกษตร กล่าวว่า ในแต่ละสัปดาห์ วิชาเลือกจะมี 2 คาบ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาทุกคน ก่อนเริ่มเข้าแปลงเกษตร อาจารย์จะให้ความรู้ในเชิงข้อมูล ประมาณ 10 นาที จากนั้นจะปล่อยให้นักเรียนได้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ในทุกสัปดาห์กิจกรรมในเชิงปฏิบัติยังแปลงเกษตรจะหมุนเวียนไปทุกสัปดาห์ ส่วนวันหยุดราชการ นักเรียนที่บ้านอยู่ใกล้โรงเรียน จะเป็นผู้รับผิดชอบมาดำเนินการในกิจกรรมที่รับผิดชอบ โดยอาจารย์ไม่ต้องใช้มาตรการใดมาบังคับ

“ปัจจุบัน มีนักเรียนหลายคนที่นำแนวคิดการทำแปลงเกษตรในรูปแบบของเศรษฐกิจพอเพียงไปทำต่อที่บ้าน เช่น การเลี้ยงไก่ การเลี้ยงปลา การปลูกผัก เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า เกษตรช่วยให้เด็กเกิดความรัก เกิดการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ที่อยู่ระหว่างรณรงค์ให้ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้”

เด็กหญิงนารถชนก เรืองวิชา หรือ น้องนาด นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่าความรู้สึกที่ได้เรียนวิชาเกษตร ว่า เมื่อก่อนในโรงเรียนไม่มีกิจกรรมเกษตร น้องนาดเป็นเด็กกลุ่มแรกๆ ที่ช่วยอาจารย์ปรับปรุงพื้นที่เกษตร รู้สึกดีที่มีกิจกรรมทางการเกษตร เพราะช่วยให้รู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ส่วนตัวชอบการดำนามากที่สุด เพราะสมัยเด็กเล็กเคยช่วยคุณตาดำนา แต่เมื่อโตขึ้นไม่เคยได้ร่วมกิจกรรมการทำนาเลยแม้แต่น้อย เป็นความประทับใจ เมื่อได้ลงมือทำก็รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กเล็กอีก สิ่งที่ได้รับมากที่สุดจากการลงมือปฏิบัติในเชิงเกษตร คือ การรู้จักความพอประมาณ ความพอเพียง และความพอดี

เด็กชายกษิดิศ ล่ำสัน หรือ น้องเอิร์ธ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 บอกว่า ไม่รู้ตัวว่าชอบการเกษตรเมื่อไหร่ แต่รู้ว่าชอบเมื่อได้ลงมือปฏิบัติในทุกครั้ง ที่ชอบที่สุดคือการประมง ที่เริ่มจากการก่อปูนเพื่อสร้างบ่อปูนซีเมนต์ใช้เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ เมื่อถามน้องเอิร์ธว่า คิดว่าเกษตรให้อะไรกับเยาวชน น้องเอิร์ธ ตอบอย่างเข้าใจง่ายว่า เกษตรให้ความรู้เรื่องความพอเพียง พออยู่ พอกิน ส่วนเยาวชนที่ไม่รู้เรื่องของกิจกรรมทางการเกษตรเลย จะไม่มีความพอดี และใช้เงินฟุ่มเฟือย

ด้าน เด็กหญิงนิโลบล พิมพ์เขียว หรือ น้องเมย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่าว่า สิ่งที่ชอบที่สุดในการทำการเกษตร คือ การปลูกต้นไม้ เพราะครอบครัวปลูกข้าวและไม้ผล แต่เป็นการไว้กินภายในครัวเรือน ไม่ได้ปลูกในเชิงพาณิชย์ แต่ถ้าสามารถนำไปถ่ายทอดให้น้องๆ เยาวชนได้ ก็จะบอกกับน้องๆ เยาวชนว่า ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ในทุกๆ ที่ เพราะต้นไม้สามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัวได้

ส่วน เด็กชายพงศกร กาศจันทร์ หรือ น้องออย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 อธิบายว่า ชอบการเกษตรเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะการเลี้ยงกบและการเลี้ยงปลา ซึ่งน้องออยมีวิธีการดูน้ำที่ใช้เลี้ยงปลา ว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนน้ำให้กับปลาหรือไม่ โดยการคว่ำมือลงไปในน้ำให้ลึกถึงข้อมือ จากนั้นหงายมือขึ้น หากเห็นฝ่ามือตนเองก็แสดงว่าน้ำยังใช้ได้ แต่ถ้ามองไม่เห็นฝ่ามือหมายถึงถึงเวลาเปลี่ยนน้ำปลา ซึ่งหากเปลี่ยนน้ำจะค่อยๆ ปล่อยน้ำออกจากบ่อ ควรนำถังมารองน้ำปลาที่ใช้แล้ว เพื่อนำไปรดน้ำต้นไม้ เพราะน้ำที่ใช้เลี้ยงปลามีธาตุอาหารเหมาะสำหรับพืช เป็นการประหยัดและได้ประโยชน์อีกทอด

“ส่วนการเลี้ยงกบ ผมอยากแนะนำวิธีดูเพศกบมาฝาก กบเพศผู้จะมีสีเข้มกว่าเพศเมีย เพศผู้มีถุงคาง แต่เพศเมียตัวใหญ่กว่าและมีสีเหลืองอ่อนกว่า ส่วนการดูว่ากบเพศผู้พร้อมผสมพันธุ์ ให้สอดนิ้วไปใต้ลำตัวจากด้านหน้าไปถึงช่วงท้อง หากกบพร้อมผสมพันธุ์กบจะใช้ขาเกาะนิ้วไว้”

น้องออย บอกด้วยว่า การทำประมงที่ต้องล้างบ่อ ถ่ายน้ำปลา จับกบ จับปลา แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าได้ลองทำจะรู้ว่าไม่ยาก เป็นสิ่งที่เยาวชนทุกคนทำได้ เพียงแต่ขอให้เปิดใจยอมรับและลองทำ สำหรับน้องออย ยังนำความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาดุกไปใช้ในครัวเรือน โดยเลี้ยงไว้กินเองในบ่อซีเมนต์ที่ทำขึ้น และการดูแล น้องออยบอกเลยว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ถึงเวลาให้อาหาร และหมั่นสังเกตเพื่อเปลี่ยนน้ำให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็มีปลาดุกไว้กินเองภายในครัวเรือนแล้ว

แม้โรงเรียนบ้าน กม.35 จะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่บริเวณชุมชน มีบุคลากรครูและนักเรียนจำนวนมาก มีผู้บริหารที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่โรงเรียนบ้าน กม.35 ยังคงต้องการอย่างต่อเนื่อง คือ อาคารเรียนที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนที่นับวันจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ด้วยคุณภาพการสอนของโรงเรียนเอง

ติดต่อสอบถาม หรือ ศึกษาดูงานได้ที่ โรงเรียนบ้าน กม.35 เลขที่ 1 หมู่ที่ 14 ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ หรือ อาจารย์ลำพึง วิมลเศรษฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้าน กม.35 โทรศัพท์ (089) 856-3482 และ อาจารย์จำรูญ พะแพง ครูผู้สอนวิชาเกษตร โทรศัพท์ (089) 686-3624

Leave a comment