ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05098150359&srcday=2016-03-15&search=no
| วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619 |
ท่องเที่ยวเกษตร
นัย บำรุงเวช
ตลาดน้ำท่าคา ตัวตนคนอัมพวาที่ยังคงอยู่
ปัจจุบัน ตลาดน้ำ ได้รับการรื้อฟื้นกลับขึ้นมาหลายแห่ง หลายแห่งเป็นตลาดน้ำที่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม แต่บางแห่งสภาพภูมิประเทศไม่สามารถเป็นตลาดน้ำก็ยังยัดเยียดผลักดันให้เป็นตลาดน้ำขึ้นมา เช่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่บนที่สูงเชิงเขา อันเป็นการบิดเบือนธรรมชาติ สร้างวิถีการดำรงชีวิตของชุมชนขึ้นมาใหม่ หวังดึงดูดนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างภาพตามกระแส
ตลาดน้ำ เกิดขึ้นมานานมาก พร้อมกับวิถีการดำรงชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับแม่น้ำ ลำคลอง ได้อาศัยแม่น้ำ ลำคลอง เพื่อการคมนาคม การแลกเปลี่ยนและค้าขายผลผลิตการเกษตร กาลเวลาเปลี่ยนไป แม่น้ำ ลำคลอง ถูกลดความสำคัญลงเมื่อการคมนาคมทางบกสะดวกรวดเร็วกว่ามาแทน แต่ยังมีตลาดน้ำอีกแห่งหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือความเป็นตัวตนดั้งเดิมอยู่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่พอมีเค้าโครงของรากเหง้าในอดีตอยู่ นั่นคือ ตลาดน้ำท่าคา อยู่ที่ตำบลท่าคา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ในอดีต คลองท่าคา ใช้เพื่อการเดินทางระหว่างคนอัมพวากับคนแม่กลอง คนจากอัมพวาพายเรือขึ้นไป คนแม่กลอง พายเรือลงมาพบกันที่บ้านท่าคา จึงใช้เป็นสถานที่นัดแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านในบางนั้นและในละแวกใกล้เคียง คาดว่าจุดแลกเปลี่ยนแห่งนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2480 เดิมชาวบ้านเรียกว่า ตลาดนัดท่าคา มีสภาพการดำรงชีวิตแบบพื้นบ้านของจังหวัดสมุทรสงครามมาแต่ดั้งเดิม เนื่องจากวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของชาวจังหวัดสมุทรสงครามเป็นวิถีชีวิตแบบชาวสวนและแบบชาวประมง จึงนำสินค้าและผลผลิตจากสวนมาแลกเปลี่ยนกับอาหารทะเล ต่อมามีการสร้างคันดินขวางคลองเพื่อกันน้ำเค็มจากด้านแม่กลองไม่ให้ไหลเข้ามาที่อัมพวา ป้องกันไม่ให้พืชสวนผลไม้ต่างๆ ต้องเสียหายจากน้ำเค็ม คันดินนี้เรียกว่า ทำนบ ทำให้การคมนาคมที่เคยติดต่อกันได้สะดวกถูกกั้นขวางโดยทำนบดิน ทำนบเป็นคันดินกั้นขวางลำคลองท่าคา แบ่งคลองออกเป็น 2 ด้าน การแลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรเลยมาทำกันบนทำนบคลองท่าคา และใช้เป็นจุดนัดพบกันในที่สุด ทางฝั่งอัมพวานำเอาพืชผักและผลไม้จากสวน เช่น พริก หอมบางช้าง กระเทียม น้ำตาลมะพร้าว มะพร้าว มะม่วง ส้มโอ ฝรั่ง ชมพู่ ฯลฯ มา ส่วนทางฝั่งแม่กลองนำเอาอาหารทะเลแห้ง ปลาเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ น้ำปลา เกลือ ฯลฯ มาแลกเปลี่ยนตามนัดที่นัดกันโดยไม่มีการซื้อขายเป็นเงินตรา และตรงกลางทำนบมีร่องขนาดลำเรือเป็นดินเลนขึ้นมันวาวจากการถูกไถของท้องเรือที่เข็นขึ้นข้ามไปอีกฝั่ง การเข็นเรือจะง่ายเมื่อสาดด้วยน้ำจนลื่น ทำนบกันน้ำเค็มทำไว้หลายแห่งตามคลองต่างๆ เป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ทำขึ้นมาเพื่อป้องกันน้ำเค็ม แต่ว่าทำนบดินไม่สามารถควบคุมน้ำเค็มได้ทั้งหมด แม้ข้อดีของมันสามารถป้องกันไม่ให้น้ำเค็มเข้ามาได้ แต่ข้อเสียของมันทำให้น้ำจืดไม่สามารถไหลลงทะเลได้ จึงสร้างประตูน้ำขึ้นมาแทน แต่ประตูระบายน้ำมีความสูงและระยะทางมากกว่า ทำให้การข้ามไปหากันเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นไปด้วยความทุลักทุเล ลำบากกว่าเดิมเสียอีก ถ้าอยากข้ามไปหากันจะต้องพายเรือเข้าในคลองเล็ก กว่าจะลัดเลาะถึงกันได้ ต่อมาจึงย้ายจุดนัดพบที่ท่าคาเข้ามาที่ปากคลองพันลา ติดกันกับคลองท่าคา ไม่ห่างจากจุดเดิมมากนัก ตลาดนัดคลองพันลาได้เป็นจุดนัดพบแลกเปลี่ยนสินค้าเรื่อยมา คลองพันลาได้เพี้ยนเป็นคลองศาลา
การนัด ได้ยึดถือสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ โดยนัดกันในวัน 2 ค่ำ 7 ค่ำ และ 12 ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ดังนั้น ใน 1 เดือน จึงมีการนัดกัน 6 ครั้ง ตลาดนัดเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้า ชาวสวนต่างพายเรือกันมาลอยลำที่ปากคลองศาลา (ความกว้าง ประมาณ 12 เมตร แคบกว่าคลองอัมพวา) ถึงตอนสายคลองที่แคบอยู่แล้วกับแคบกว่าเดิมเมื่อเรือจำนวนมากต่างพายเบียดกันมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากัน แต่ละลำ ลำแล้วลำเล่า พายจากลำหนึ่งไปหาอีกลำหนึ่ง จนได้สินค้าตามที่ต้องการเป็นที่พอใจจะพายจากไป บ่ายคล้อยไปแล้วลำคลองจึงกลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ตลาดอาจวายในตอนบ่ายก็ได้ เอาแน่ไม่ได้ หรืออาจวายก่อนเที่ยงวันถ้าน้ำในคลองแห้งเร็ว เป็นอุปสรรคต่อการพายเรือ บีบให้เรือต่างรวมกันที่กลางคลอง ขยับเขยื้อนลำบากล่าช้า ต่อมาการแลกเปลี่ยนผลผลิต มาเป็นการซื้อขายระหว่างกัน ซึ่งสะดวกรวดเร็วกว่า ยุติธรรมมากขึ้น เรือพายบางลำเปลี่ยนมาติดเป็นเครื่องเรือหางยาว เรือติดเครื่องยนต์จะดับเครื่องยนต์เมื่อเข้าใกล้จุดนัด ช่วงระยะเวลาที่มีการซื้อขายสินค้ากันที่วุ่นวายคึกคัก อยู่ระหว่างเวลา 10.00-12.00 นาฬิกา ในอดีตเคยมีเรือมารวมตัวกัน 200-300 ลำ จนแน่นลำคลอง
ตลาดน้ำท่าคา ได้รับการผลักดันให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2538 ครั้งนั้น คุณสาวิตต์ โพธิวิหก อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวได้มาทำพิธีเปิดตลาดน้ำท่าคา เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 เป็นการจุดกระแสให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวตลาดน้ำท่าคา ริมตลิ่งสองข้างได้มีการสร้างแนวคอนกรีตป้องกันตลิ่งพัง พร้อมกับทางเท้าเรียบคลอง จากกระแสข่าวการท่องเที่ยวตลาดน้ำทำให้นักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยวตลาดน้ำท่าคากันมาก แต่นักท่องเที่ยวต่างผิดหวังเพราะมาเที่ยวไม่ตรงกับวันนัด 2 ค่ำ 7 ค่ำ และ 12 ค่ำ จึงไม่มีเรือในคลอง ถ้ามาตรงกับวันเสาร์และวันอาทิตย์ก็โชคดีได้พบกับตลาดน้ำ ต่อมาเพื่อเป็นการตอบรับนักท่องเที่ยว ทางองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคา โดย คุณวินัย นุชอุดม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคา จึงกำหนดให้มีตลาดในวันเสาร์-วันอาทิตย์ เพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อปี พ.ศ. 2551 จากนั้นได้มีการสร้างร้านค้าบนบก ส่วนมากขายของที่ระลึก ของฝากต่างๆ สร้างหลังคาคร่อมถนนทางเข้า สร้างลานจอดรถ สร้างห้องสุขาเพิ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ที่ลานจอดรถมีรูปปั้นรัชกาลที่ 5 อยู่ภายในศาลาไทย สร้างสะพานข้ามคลองอีก ทำให้มีสะพาน 2 แห่ง มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นอกจากสินค้าผลผลิตทางการเกษตรที่เคยเป็นหลัก ได้มีอาหารต่างๆ เพิ่มขึ้นมา เรือขายก๋วยเตี๋ยว เรือขนมจีน เรือขนมเบื้องโบราณ เรือหอยทอด เรือผัดไทย เรือกาแฟ และเรือขนมไทย อื่นๆ ล้วนราคาถูกและอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น หอยทอด จานละ 20 บาท
ตลาดน้ำท่าคา เป็นตลาดนัดทางน้ำที่ยังคงความเป็นธรรมชาติของวิถีชีวิตชาวบ้านซึ่งมีอาชีพทำสวนตาลมะพร้าวและปลูกพืชผลชนิดต่างๆ ชาวบ้านต่างพายเรือนำผลผลิต พืชผักและผลไม้จากสวนมาซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนกัน เฉพาะในวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-11.00 นาฬิกา ในวันเสาร์-วันอาทิตย์ จะขยายเวลาออกไป แต่เรือจะมีไม่มากเหมือนวันนัดจริง เป็นสินค้าบนบกเสียมากกว่า สินค้าเน้นพืชผลจากชาวสวนโดยตรง ใหม่และสดในราคาถูก นอกจากนี้ จะได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชาวท่าคาที่ประกอบอาชีพทำสวนตาลมะพร้าวส่วนใหญ่ การมีตลาดนัดนับข้างขึ้นข้างแรมแบบโบราณของไทยคงเป็นการสื่อสารที่เข้าใจยากสำหรับคนสมัยใหม่และนักท่องเที่ยว ดังนั้น ทางองค์การบริหารส่วนตำบลท่าคาจึงขึ้นป้ายบอกในแต่ละเดือนว่ามีตลาดนัดวันใดบ้าง นอกจากวันเสาร์-วันอาทิตย์
มีบริการเรือพายพานักท่องเที่ยวเที่ยวชมหมู่บ้านและเรือกสวนผลไม้ในบริเวณนั้น ในราคาลำละ 200 บาท นั่งได้ 6 คน ใช้เวลาชมจนกว่านักท่องเที่ยวพอใจ ระยะทางจากตัวจังหวัดสมุทรสงครามไปถึงตลาดน้ำท่าคา ประมาณ 16 กิโลเมตร จากอำเภออัมพวาไป ระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร การเดินทางเส้นทางที่ 1 ใช้ทางหลวงหมายเลข 325 (สมุทรสงคราม-ดำเนินสะดวก) ที่กิโลเมตร 32 บางใหญ่ (เลยทางแยกเข้าวัดเกาะแก้วไปเล็กน้อย) มีทางแยกขวา ไปอีก 5 กิโลเมตร ไปหมู่ที่ 2 บ้านท่าคา ถนนลาดยาง 2 ช่องทาง ค่อนข้างแคบคดเคี้ยว ผ่านสวนมะพร้าว สวนผลไม้อันร่มรื่น ถ้ามาในตอนเช้าๆ จะได้เห็นคนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อปาดตาลหรือหาบกระบอกน้ำตาลสดหรือเข็นรถใส่กระบอกน้ำตาลเพื่อไปเคี่ยวเป็นน้ำตาลปี๊บ มะพร้าวใช้ทำน้ำตาลได้ เปลี่ยนมาเป็นมะพร้าวพันธุ์เตี้ยกันมากขึ้น เพื่อความสะดวกในการปีนป่ายขึ้นไปเอาน้ำตาลสดลงมา หรือเลือกเดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง ขึ้นรถสองแถวได้ที่ตลาดตัวเมือง หน้าธนาคารทหารไทย สายท่าคา-วัดเทพประสิทธิ์ ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 นาฬิกา รถจะออกทุก 20 นาที เส้นทางที่ 2 จากตลาดแม่กลองไปตามเส้นทางถนนเอกชัย-กรุงเทพฯ แยกเข้าทางไปวัดเทพประสิทธิ์ ถึงตลาดน้ำท่าคา และเส้นทางที่ 3 จากถนนธนบุรี-ปากท่อ-กรุงเทพฯ แยกเข้าทางถนนลาดยางใหญ่ และแยกเข้าวัดเทพประสิทธิ์ ถึงตลาดน้ำท่าคา
ที่ตลาดน้ำท่าคา ยังมีขนมโบราณที่ไม่เคยพบที่ไหน ก็จะมาพบที่นี่ เช่น ขนมด้วง ขนมถุงทอง หน้าตารสชาติเป็นอย่างไรให้มาพิสูจน์กันเอง ที่นี่เป็นตลาดน้ำของคนท่าคาจริงๆ มีคนและสินค้าจากภายนอกแปลกปลอมเข้ามาน้อยมาก ต่างจากตลาดน้ำอัมพวาที่นับหัวคนอัมพวาโดยกำเนิดได้มีไม่กี่ราย สิ่งที่เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือ ธุรกิจบ้านพักโฮมสเตย์ มีไว้รองรับนักท่องเที่ยวหลายหลัง เมื่อมาพักจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวสวนในการทำน้ำตาลปี๊บ ดูการขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อปาดงวงมะพร้าวบนยอดเอาน้ำตาลสด ซึ่งได้เห็นน้ำตาลสดและสามารถขอดื่มน้ำตาลสดจริงๆ ได้ ชมการเคี่ยวน้ำตาลสดจนเป็นน้ำตาลปี๊บ ตลาดน้ำท่าคายังคงความเป็นธรรมชาติและวิถีการดำเนินชีวิตของชาวสวนอัมพวา ไม่ต่างจากอดีตที่มีความเป็นตัวตนแท้จริงมาแต่ดั้งเดิม อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลา ตลาดน้ำท่าคาจึงเป็นตัวตนคนอัมพวาที่ยังคงอยู่
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวันเวลานัดได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบลท่าคา โทรศัพท์ (034) 766-208