นาข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ที่นครราชสีมา ทำชาวนายิ้ม ลดต้นทุนสูบน้ำ ข้าวแตกกอดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05040150359&srcday=2016-03-15&search=no

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619

เทคโนฯ เกษตร

นาข้าวแบบเปียกสลับแห้ง ที่นครราชสีมา ทำชาวนายิ้ม ลดต้นทุนสูบน้ำ ข้าวแตกกอดี

การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง เป็นเทคโนโลยีการจัดการน้ำในนาข้าวเพื่อให้เกิดความประหยัด สามารถผลิตข้าวได้แม้น้ำชลประทานมีจำกัด และสามารถนำมาใช้กับการเพาะปลูกข้าวได้ทั้งนาปีและนาปรัง โดยพบว่า สามารถลดปริมาณการใช้น้ำลงได้ถึง ร้อยละ 20-50 ขึ้นอยู่กับชนิดของดินและสภาพอากาศ อีกทั้งยังช่วยลดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในการสูบน้ำได้อย่างน้อย ร้อยละ 30 นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มจำนวนรากของต้นข้าวให้มากขึ้น ทำให้สามารถดูดซับธาตุอาหารได้ดีขึ้น ส่งผลให้ลดจำนวนการใส่ปุ๋ยน้อยลง ทำให้ประหยัดต้นทุนได้อีกทางหนึ่ง

เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนที่จัดเก็บในเขื่อน และปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาน้อยกว่าค่าเฉลี่ย ทำให้หลายพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งทั้งในและนอกเขตชลประทาน ส่งผลให้ต้องมีการบริหารน้ำอย่างเคร่งครัด ดังนั้น กรมการข้าว จึงมีโครงการขยายผลการส่งเสริมการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งเพื่อการประหยัดน้ำ เพิ่มในเขตภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังที่ดำเนินการส่งเสริมในพื้นที่ภาคกลาง บริเวณ 22 จังหวัด ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา จนมีผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า สำหรับการขยายผลการส่งเสริมการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งเพื่อการประหยัดน้ำ มีเป้าหมายจะดำเนินการในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แพร่ อุดรธานี หนองคาย ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ และนครราชสีมา ซึ่งจะเน้นเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอต่อการเพาะปลูกข้าวนาปรัง ด้วยการจัดทำเป็นแปลงสาธิตการทำนาเปียกสลับแห้ง แปลงละ 5 ไร่ จำนวน 100 แปลง รวมพื้นที่ 500 ไร่ เกษตรกรที่เข้าร่วม ประมาณ 6,000 คน

ปีแรกและครั้งแรก ปลูกเปียกสลับแห้ง

นครราชสีมา เป็นหนึ่งในจังหวัดนำร่องตามโครงการขยายผลที่กรมการข้าวจะดำเนินการ ที่สำคัญนับเป็นปีแรกและครั้งแรกของชาวนาในพื้นที่ที่ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งเพื่อการประหยัดน้ำ โดยมีศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมาเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ

นายธีระพงษ์ พุทธรักษา ผู้อำนวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา กล่าวว่า พื้นที่ดำเนินการของจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมือง มีเกษตรกรเข้าร่วม 16 ราย พื้นที่ 278 ไร่ จัดทำแปลงสาธิต จำนวน 2 แปลง และอำเภอปักธงชัย มีเกษตรกรเข้าร่วม 24 ราย พื้นที่ 450 ไร่ จัดทำแปลงสาธิต จำนวน 3 แปลง โดยพันธุ์ข้าวที่ส่งเสริมให้เกษตรกรภายในโครงการปลูก เป็นพันธุ์ข้าวไม่ไวแสง พันธุ์ชัยนาท 1

ขณะที่ นายประสงค์ ศรีอ่อนหล้า นักวิชาการชำนาญการพิเศษ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในพื้นที่อำเภอเมืองนั้น ได้ดำเนินการส่งเสริมในพื้นที่บ้านท่ากระสัง ตำบลหัวทะเล อำเภอเมืองนครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่ส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวของศูนย์ โดยได้เข้ามาจัดตั้งเป็นกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านท่ากระสัง สำหรับน้ำที่นำมาใช้ในการทำนาของบ้านกระสังนั้น จะใช้น้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาลเมืองนครราชสีมา

“โดยทางศูนย์ได้เข้ามาจัดประชุมในลักษณะเวทีชาวบ้าน ชี้แจงทำความเข้าใจ และรับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยจนถึงขณะนี้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งข้าวพันธุ์ชัยนาท 1 ที่ปลูกในแปลงสาธิต คาดว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ประมาณปลายเดือนเมษายนนี้

ขณะที่ นายวิรุจน์ ทาดี นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา กล่าวเสริมว่า การปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งสำหรับในภาคกลางนั้น มีการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้กันมานานแล้ว แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องบอกว่าเป็นปีแรกที่เริ่มมีการนำองค์ความรู้นี้มาเผยแพร่ให้ชาวนาในพื้นที่ได้ลองปฏิบัติ ซึ่งการที่ชาวนาในพื้นที่จะให้การยอมรับนั้น คงต้องรอประมวลจากผลที่เกิดขึ้น ว่า ต้นทุนเป็นเท่าไร ประหยัดน้ำจริงหรือไม่ และได้ปริมาณผลผลิตข้าวมาน้อยแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับการทำนาตามปกติที่เคยทำกันมา

สำหรับเทคโนโลยีการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งที่นำมาทดลองดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาจนถึงขณะนี้ นายวิรุจน์ กล่าวว่า จากระยะเวลาที่ดำเนินการมาเป็นประมาณ 2 เดือน ได้เห็นถึงข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจ และอาจจะนำไปสู่การใช้เป็นแนวทางในการปรับวิธีการเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่นาของจังหวัดนครราชสีมา

“ที่เห็นชัดตอนนี้ คือ ในพื้นที่นาของสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ 2 ราย ที่นาห่างกัน ประมาณ 1 กิโลเมตร ลักษณะดินในนาเหมือนกันคือ เป็นดินเหนียว แต่เมื่อไปดูน้ำใต้ดินจากท่อดูน้ำแล้วพบว่าแตกต่างกัน โดยรายหนึ่งเมื่อปล่อยน้ำออกจะพบว่ามีน้ำใต้ดินอยู่เหมือนกับในข้อแนะนำของการทำนาเปียกสลับแห้ง และเป็นลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในพื้นที่นาภาคกลาง แต่ขณะที่ชาวนาอีกรายพบว่า เมื่อน้ำในนาแห้ง แต่หน้าดินยังแสดงให้เห็นว่ายังเปียกอยู่ พอไปดูที่ท่อดูน้ำกลับไม่พบว่ามีน้ำใต้ดินอยู่เลย ตรงนี้หากชาวนาไม่ได้ดูและยึดตามข้อแนะนำ ก็จะคิดว่าในนาของตนเองยังมีน้ำใต้ดินอยู่ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ไม่มี ดังนั้น คงต้องมาดูว่าอาจต้องมีการปรับรอบการนำน้ำเข้านาให้เร็วขึ้นและมากกว่าเดิม เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีความแตกต่างกันนั้น อาจจะจากสภาพที่ตั้งของพื้นที่นา เพราะของรายหนึ่งอยู่บนที่ดอนและไม่มีนาข้างๆ แต่อีกรายหนึ่งอยู่ในที่ลุ่มและมีนาข้างเคียงโดยรอบ”

นายวิรุจน์ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับอุปกรณ์สำคัญในการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้ง คือ ท่อดูน้ำ ซึ่งภายใต้การส่งเสริมตามโครงการได้มีการสนับสนุนท่อดูน้ำให้กับชาวนาที่เข้าร่วม โดยท่อดูน้ำนี้เป็นท่อ พีวีซี ขนาดความกว้าง 4 นิ้ว ยาว 25 เซนติเมตร ด้านข้างท่อเจาะด้วยสว่าน ห่างกันรูละ 5 เซนติเมตร

ท่อดูน้ำจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการสังเกตระดับน้ำใต้ดินในแปลง ซึ่งจะมีการฝังท่อไว้ตามจุดต่างๆ ของแปลงนา ให้ลึกลงไปในดิน ประมาณ 20 เซนติเมตร โดยให้ปากท่อโผล่พ้นดิน ประมาณ 5 เซนติเมตร จากนั้นควักดินภายในท่อออกให้หมด และใช้เป็นเครื่องสังเกตว่าชาวนาควรทดน้ำลงที่นาได้หรือยัง

“สำหรับจุดที่ฝังท่อดูน้ำ ทางศูนย์แนะนำให้ชาวนาสมาชิกฝัง จำนวน 6 จุด ต่อแปลง เหตุเพราะอยู่ที่สภาพการปรับพื้นที่นา ว่าทำได้ดีมีความเรียบเสมอกันทั้งพื้นที่หรือไม่ ถ้าเรียบสม่ำเสมอกันหมด จะฝังท่อเพียง 2-4 จุด ก็เพียงพอ แต่หากยังปรับพื้นที่ไม่เรียบ การฝังท่อประมาณ 6 จุด จะทำให้สามารถมองดูปริมาณน้ำใต้ดินได้ชัดเจนมากกว่า” นายวิรุจน์ กล่าว

ที่เห็นชัดๆ ชาวนาลดต้นทุนค่าสูบน้ำ ลดโรค

นายประเสริฐ แสนสุข ชาวนาเจ้าของแปลงสาธิตการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งของบ้านท่ากระสัง กล่าวเพิ่มเติมว่า จากที่ทำมาเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนนี้ ที่เห็นชัดเลยจากวิธีการนี้คือ ต้นข้าวที่ปลูกด้วยวิธีเปียกสลับแห้งนี้ มีการแตกกอที่ดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รากมีจำนวนมาก ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตดี อีกทั้งสามารถลดจำนวนการสูบน้ำลง หากทำในระบบปลูกข้าวแบบเดิมมาถึงตอนนี้ต้องสูบน้ำเข้านาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง แต่การปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งจนถึงขณะนี้ เพิ่งสูบน้ำเข้านาไปตอนเริ่มปลูกครั้งแรกครั้งเดียว

“ค่าสูบน้ำแต่ละครั้งนั้น จะเสียค่าน้ำมัน ประมาณ 200 บาท ดังนั้น ที่ชัดเจนตอนนี้เลยผมลดต้นทุนค่าน้ำมันลงไปได้แล้วประมาณ 1,000 กว่าบาท” นายประเสริฐ กล่าว

นอกจากนี้ นายประเสริฐ ยังบอกว่า ต้นข้าวที่ปลูกด้วยวิธีเปียกสลับแห้งนี้ มีการแตกกอที่ดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ขณะที่ นายชม แก้วบุญพะเนา ชาวนาเจ้าของแปลงสาธิตการปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้งของบ้านท่ากระสัง กล่าวว่า อีกสิ่งที่เห็นชัดเจนคือ ตั้งแต่มาปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้ง จนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาการเกิดขึ้นของโรคที่สำคัญในข้าว อย่างโรคไหม้ข้าวเลย อีกทั้งดินในนาก็ไม่เป็นหล่ม ซึ่งเป็นดินที่ยุบเพราะมีขี้โคลนเยอะ ทำให้รถไถไม่อยากเข้ามารับจ้างไถ เพราะต้องเปลืองน้ำมันมากขึ้น

ทั้งนี้ จากคำอธิบายของชาวนาแปลงสาธิตทั้ง 2 ต่างมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การปลูกข้าวโดยวิธีเปียกสลับแห้ง ที่กรมการข้าวนำเข้ามาส่งเสริมนี้ จะทำให้ได้รับผลผลิตที่ดีแน่นอน และน่าจะเป็นทางเลือกใหม่ของการทำนาในพื้นที่ภาคอีสาน

Leave a comment