พฤกษานาปรัง ถูกหยุดยั้ง รอความหวังจาก…น้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05025150359&srcday=2016-03-15&search=no

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619

พฤกษากับเสียงเพลง

มานพ อำรุง

พฤกษานาปรัง ถูกหยุดยั้ง รอความหวังจาก…น้ำ

“ฤดูแล้ง มีความหมายชัดเจนในตัวเอง หมายถึงฤดูกาลที่แห้งแล้ง ไม่มีฝน หากจะตกบ้างก็เล็กน้อยมาก คนไทยต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง เช่น หันไปปลูกพืชทนแล้งที่ใช้น้ำน้อย น้ำกิน น้ำใช้ ในครัวเรือน ส่วนหนึ่งอาศัยแหล่งน้ำธรรมชาติที่ยังหลงเหลืออยู่ หรือบ่อน้ำที่ขุดไว้ อีกส่วนใช้น้ำในตุ่ม หรือในโอ่ง ที่รองเก็บไว้ในช่วงหน้าฝน อาหารการกินก็ปรุงจากภูมิปัญญาที่มุ่งหมายให้ร่างกายเย็นลง เป็นต้น

ในสังคมเกษตรกรรมอย่างประเทศไทย ที่ผ่านมามีข้อพิสูจน์ชัดแจ้งแล้วว่า ระหว่างพื้นที่ชลประทาน กับพื้นที่นอกเขตชลประทาน มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ไม่ว่าผลผลิต รอบการผลิต ระดับรายได้ความเป็นอยู่ ก็ด้วยปัจจัยความมั่นคงด้านน้ำเป็นเครื่องชี้ขาด…ฯลฯ”

เป็นส่วนหนึ่งของข้อความ จากหัวข้อ “เครื่องค้ำประกันฤดูแล้ง” โดยกลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “น้ำเพื่อชีวิตเพื่อเศรษฐกิจไทย” ซึ่งเป็นเอกสารย้ำให้เห็นความสำคัญของน้ำ และความจำเป็นในการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมถึงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรม เพราะตระหนักดีว่า ทรัพยากรน้ำสำคัญต่อทุกชีวิตบนผืนแผ่นดินไทย และจำเป็นต้องเข้าไปจัดการมากกว่าปล่อยตามยถากรรม

หน้าแล้ง เป็นวัฏจักรธรรมชาติ เป็นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นในช่วงที่ประชากรยังน้อย สภาพทั่วไปยังอุดมสมบูรณ์ ความเดือดร้อนจึงไม่สู้มากนัก จนเมื่อประชากรขยายตัวมากขึ้น ความเดือดร้อนจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องหาทางแก้ไข มนุษย์จึงต้องสั่งสม เรียนรู้การเอาชีวิตรอดมาเป็นลำดับ เช่น การเก็บสะสมอาหารจำพวกเมล็ดธัญพืช หรือเนื้อสัตว์จากป่า จนพัฒนามาเป็นการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แทนการอาศัยธรรมชาติฝ่ายเดียว และเพื่อความมั่นคงอยู่รอดในระยะยาว มนุษย์ยังเพียรพยายามสร้างความมั่นคงด้านน้ำควบคู่กับอาหาร

เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ระบบชลประทาน คือนวัตกรรมเพื่อความมั่นคงของชีวิตที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา เพื่อบริหารจัดการน้ำที่มีอย่างจำกัด ควบคู่กับการผลิตอาหารที่มนุษย์เองมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย และด้วยเหตุนี้ ในด้านเกษตรกรรม ก็มีเหตุผลว่า ทำไม เกษตรกร หรือผู้คนในชนบท จึงอยากได้นวัตกรรมความมั่นคงของชีวิต อย่าง เขื่อน อ่างเก็บน้ำ และระบบชลประทาน กันนักหนา และนับวันความต้องการมากขึ้น แม้ว่าทางด้านกระแสอนุรักษ์จะมีเหตุผลในการคัดค้านตามมาก็ตามที นี่คือข้อคิดจากหัวข้อ “เครื่องค้ำประกันฤดูแล้ง” ที่กลุ่มประชาสัมพันธ์ฯ เขียนไว้ ตั้งแต่ 20 มกราคา 2557

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2-3 ทศวรรษ ประเทศไทยมีชื่อเป็นประเทศที่ส่งออกข้าวเป็น อันดับ 1 ของโลก เนื่องจากมีการขยายพื้นที่ปลูกข้าวมากมายอีกครั้งหนึ่งของพื้นที่ทำการเกษตรทั้งประเทศ และด้วยรอบการผลิตบางพื้นที่ทำนาปลูกข้าว ได้ผลผลิต 2-3 ครั้ง ต่อปี ทั้งๆ ที่ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ แต่ผลผลิตโดยรวมก็เป็นผู้นำ

พื้นที่เขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญที่สุด ทั้งความเหมาะสมตามธรรมชาติเป็นที่ราบลุ่ม มีปริมาณน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำหลักถึง 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน แต่ความสมบูรณ์ที่ไม่เหมาะสม หรือความเกินพอก็เกิดขึ้นได้จากการใช้โอกาสที่มีความขัดแย้งกับความเป็นจริง เมื่อมีการปลูกข้าว ปีละ 3 ครั้ง และนอกเหนือจากนาปีแล้ว ยังมีนาปรัง ครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 ทำให้ไม่มีเวลาพักดิน ชาวนาอาจจะตระหนักดีว่า การทำนาปรัง ครั้งที่ 2 มีโอกาสขาดทุนสูง ทั้งปริมาณน้ำต้นทุนที่จำกัดจนถึงขั้นขาดแคลน การระบาดของโรคและแมลงศัตรู แต่จากนโยบายข้าวของประเทศ ก็ผลักดันให้ชาวนาโหมปลูกข้าวมากมายและต่อเนื่อง ก็เท่ากับการปิดโอกาสการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยหรือพักฟื้นดิน

ในหนังสือ น้ำเพื่อชีวิตเพื่อเศรษฐกิจไทย กล่าวไว้ในหัวข้อ “รักษาสมดุลอู่ข้าว อู่น้ำ” เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 ตอนหนึ่ง สรุปความว่า การทำนามากครั้ง ยังกระทบต่อทรัพยากรอื่นๆ เช่น การใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินที่มากเกินพอ ส่งผลเสียต่อความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน และสิ่งมีชีวิตที่มีประโยชน์ในดิน ซ้ำยังสร้างโรคและแมลงศัตรูข้าว ซึ่งล้วนมีผลต่อผลผลิตเฉลี่ยที่ลดลง และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากนั้น ข้าว เป็นพืชที่สิ้นเปลืองน้ำมากกว่าพืชอื่น ทำให้ละเลยความจริงที่ว่า เบื้องหลังของน้ำในนาข้าวล้วนแบกต้นทุนมหาศาล เพราะน้ำปริมาณเดียวกันนี้ สามารถใช้ผลิตพืชอื่นได้ไม่น้อยค่ากว่าข้าว แถมยังเพิ่มทางเลือกให้ชาวนาแทนการปลูกข้าวด้วยความเคยชิน และแรงจูงใจเพียงครั้งคราว

แหล่งน้ำและปริมาณน้ำกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากหลายเหตุปัจจัย เช่น ปริมาณน้ำฝนบางครั้งลดน้อยลงมากจากสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกกิจกรรม ทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ปัญหาของประเทศไทยเป็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่า เพราะปมประเด็นสำคัญเกี่ยวข้องกับการทำนาปรัง ซึ่งเป็นการทำนาในฤดูแล้ง โดยเริ่มลงมือเพาะปลูกปลายปีก่อน แล้วมาเก็บเกี่ยวราวๆ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนมีนาคมของปีถัดไป ซึ่งต้นทุนน้ำถูกใช้ไปในกิจกรรมต่างๆ แล้วรอน้ำฝนเติมตามฤดูกาล

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมชลประทาน เขียนไว้ในหนังสือ น้ำเพื่อชีวิตเพื่อเศรษฐกิจไทย ในหัวข้อเรื่อง “ทำไมถึงห้ามทำนาปรัง ครั้งที่ 2” สรุปความว่า ลำพังนาปรังครั้งแรกก็ดูดซับน้ำต้นทุนโขอยู่แล้ว และเป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะน้ำเค็มรุกล้ำขึ้นสูงด้วย เพราะน้ำที่กรมชลประทานปล่อยจากอ่างเก็บน้ำลงมาสำหรับทุกกิจกรรมนั้น ล้วนอยู่ในลำน้ำเดียวกัน เช่น แม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อทำนาปรังกันเกินกว่าแผนที่กำหนดไว้มากเกือบเท่าตัว ย่อมเท่ากับดึงน้ำต้นทุนจากลำน้ำเข้าสู่นาจำนวนมหาศาล ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงไปรักษาระบบนิเวศ หรือไล่น้ำเค็มในลำน้ำด้านท้ายลงไปย่อมร่อยหรอลง น้ำเค็มจึงดันไหลย้อนเข้ามาได้เป็นระยะทางไกล ประเทศไทยก็เริ่มมีข่าวน้ำทะเลรุกน้ำจืด จนน้ำประปาในบางพื้นที่มีรสเค็มแปร่งปร่า ในขณะเดียวกัน หลายพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตภัยพิบัติแห้งแล้งที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน

จากข้อมูลที่บันทึกไว้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม 2557 ระบุไว้ว่า มีตัวอย่างเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ค่าความเค็มบริเวณตำบลสำแล อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ที่เป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตประปาของการประปานครหลวง มีค่าสูงถึง 1.95 กรัม/ลิตร อันเนื่องจากน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาถูกดึงไปใช้เพื่อทำนาปรังมาก สังเกตได้จากปริมาณการไหลของน้ำบริเวณอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมเคยมีถึง 150 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ลดเหลือเพียง 80 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่านั้น เมื่อใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวนาปรัง การใช้น้ำน้อยลง บวกกับการผันน้ำจากลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ลงมาช่วยผลักดันน้ำเค็ม ทำให้ปริมาณน้ำบริเวณบางไทร กลับคืนอยู่ในระดับ 100 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ทำให้ความเค็มบริเวณตำบลสำแล ค่อยๆ ลดลง จนไม่เป็นอุปสรรคต่อคุณภาพการผลิตน้ำประปา

การทำนาปรังครั้งแรก ยังส่งผลกระทบถึงการรุกล้ำของน้ำเค็มได้ถึงเช่นนี้ จึงเป็นเหตุผลที่กรมชลประทานรณรงค์ให้มีการงดการทำนาปรัง ครั้งที่ 2 โดยขอให้เกษตรกรรอทำนาปีพร้อมกันทีเดียว ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณฝนจะมากพอ แต่การพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนไม่ได้สัดส่วน หรือสมดุลต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกกิจกรรม โอกาสที่จะเกิดสภาวะขาดแคลนน้ำก็เป็นไปได้สูงเช่นกัน ในทางกลับกันหากมีการทำนาปรัง ครั้งที่ 2 ที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากฝนทิ้งช่วง ขาดน้ำในระบบชลประทานแล้ว ถ้าหากคิดว่าโชคดีจะมีฝน แต่ช่วงการเก็บเกี่ยว ถ้าหากเป็นช่วงมรสุมพัดผ่านเข้ามาและมีปริมาณน้ำฝนสูงมาก โอกาสที่จะถูกน้ำท่วมเสียหายของผลผลิตก็เกิดขึ้นได้อีกเช่นกัน

มีข้อมูลตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ในหัวข้อ “งดนาปรังสู่สมดุลน้ำ” ขออนุญาตสรุปนำเสนอเพื่อเป็นเหตุและผลที่จะพิจารณาการได้มาของผลผลิตและผลกระทบเมื่อใช้น้ำในปริมาณที่เกินกว่าขีดความสามารถของปริมาณน้ำ หรือแหล่งเก็บกักน้ำที่มีอยู่ รวมทั้งปริมาณฝนที่ตกน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยที่ควรจะเป็นตามฤดูกาล สืบเนื่องมาจากการตัดสินใจของรัฐบาลที่ประกาศงดทำนาปรังในฤดูการผลิต 2557/2558 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป ด้วยมีข้อจำกัดหลายประการ

ประการแรก ปริมาณน้ำต้นทุน หรือน้ำใช้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางร่อยหรอลงมาก สอดคล้องกับข้อสมมติฐานก่อนถึงฤดูฝน ในปี 2557 กรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายว่ามีปริมาณฝนน้อย และไม่มีพายุไต้ฝุ่นพาดผ่านประเทศไทย ปริมาณน้ำใช้การในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเมื่อหักลบจากน้ำที่ต้องสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูฝน ปี 2558 การอุปโภค บริโภค การรักษาระบบนิเวศ และอื่นๆ แล้ว จะมีน้ำเหลือพอสำหรับที่จะส่งเสริมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยได้ 8 แสนกว่าไร่เท่านั้น ซึ่งพอๆ กับปริมาณน้ำใช้การของลุ่มน้ำแม่กลอง

ประการที่สอง ประเทศไทยเผชิญปัญหาข้าวล้นสต๊อก จากนโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด ซึ่งทำให้มีสต๊อกข้าวเกินอยู่หลายล้านตัน กว่าจะระบายหมดก็ต้องใช้เวลานาน รวมทั้งราคาข้าวโลกตกต่ำ หากมีการทำนาปรังตามปกติ มีปริมาณข้าวล้นเติมเข้าสต๊อกเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องทำให้ต้นทุนน้ำสำรองลดลงอีกเช่นกัน

รัฐบาลจึงมีทางออกเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกร 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก จ่ายเงินชดเชยชาวนาตามข้อกำหนด ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ แนวทางที่สอง จ้างงานเกษตรกรขุดลอกคู คลอง แหล่งน้ำ เพิ่มเสริมรายได้

การงดทำนาปรัง นอกจากจัดระเบียบการผลิตข้าวให้เข้าสู่จุดสมดุลแล้ว ยังเป็นการจัดสมดุลให้น้ำต้นทุนด้วย เพราะการงดทำนาปรังจะเป็นการประหยัดน้ำต้นทุนสำหรับรองรับการเริ่มต้นทำนาปีในฤดูกาลต่อไปได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลว่าฝนในต้นฤดูกาลปลูกจะตกหรือไม่ตกก็ตาม รวมทั้งลดความเสี่ยงได้

การประกาศลดการทำนาปรังไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก จากต้นเหตุที่เป็นผลทำให้ปริมาณต้นทุนน้ำเหลือน้อย ปัจจัยหลักที่ต้องสงวนไว้เชื่อมโยงการผลิตครั้งต่อๆ ไป เคยถูกประกาศงดรอบการผลิตนาปรังในปี 2536/2537 และปี 2541/2542 ในลุ่มน้ำเจ้าพระยามาแล้ว จนมาครั้งล่าสุดจากวิกฤติน้ำ 2 ปีนี้

ผลกระทบจากวิกฤติน้ำที่คาดว่าต้องเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการรณรงค์ให้เกษตรกรงดทำนาปรังมาแล้ว ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2557-เมษายน 2558 กลายเป็นบูมเมอแรง บ่งบอกการตอบรับสถานการณ์เพียงใด จากบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันจันทร์ที่ 19 มกราคม 2558 เขียนไว้ในหัวข้อเรื่อง “บูมเมอแรงจากนาปรัง” สรุปความได้ว่า พื้นที่นอกเขตชลประทาน กรมชลประทานไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์ให้ทำนาปรังหรือไม่ทำนาได้ แต่จากที่คาดหมายว่าคงจะมีการทำนาปรังไม่เกิน 4 ล้านไร่ กลายเป็นมีการทำนาปรังเพียงไม่ถึง 1 ล้านไร่ ก็สะท้อนให้เห็นการตอบรับที่พึงรู้เจียมรู้พอเรื่องน้ำพอควร

แต่สำหรับในเขตชลประทาน เขตบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ซึ่งตั้งเป้าคาดหมายว่าจะมีการทำนาปรังไม่เกิน 1.8 ล้านไร่ ทั่วประเทศ ถึงเวลาจริงกลับมีตัวเลขทำนาปรังมากกว่า 3 ล้านไร่ โดยส่วนใหญ่อยู่ในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งกรมชลประทานประกาศงดส่งน้ำโดยสิ้นเชิง แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรม และความเคยชิน และไม่มีการหยุดพักดิน รวมทั้งส่งผลให้มีการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กระทบทั้งต้นทุนการผลิตข้าว และเกิดโรคระบาดศัตรูข้าว เนื่องจากมีหลายปัจจัย และส่วนสนับสนุนเป็นแรงจูงใจให้ชาวนาลุ่มเจ้าพระยาทำนามากครั้ง แม้ว่ากรมชลประทานจะงดส่งน้ำ แต่ชาวนาก็เสี่ยงอาชีพโดย ขุดบ่อ สูบบาดาล หรือแอบสูบจากลำน้ำหลายสาย ที่เป็นเหตุให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา แต่ที่แน่ๆ ก็ถือว่าเป็นตัวบูมเมอแรงหมุนทวนกระทบหลายปัจจัยโดยถ้วนหน้ากัน

วัฏจักรหมุนเวียนเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่าง ก็ต้องผ่านพ้นเพราะมีเหตุผลในตัวเอง

เพลง อ้อนชาวนา

อย่าเพิ่งทำนาเลยนะคุณอาป้าลุง เดี๋ยวเรื่องจะยุ่งเพราะว่าน้ำท่าไม่ดี ถ้าหากเสี่ยงทำ แล้วน้ำในนาไม่มี เสียหายหมดเงินเป็นหนี้ ต้องชอกต้องช้ำ

รอให้กลางเดือนหน้าเสียก่อน ฝนตกแน่นอน น้ำมาค่อยหว่านค่อยทำ โปรดลองตรองดู เสี่ยงแล้วต้องมาผิดหวัง พักรอว่ากันวันหลัง ตอนนี้แล้งจังเลยหนา

*จากชลประทาน ห่วงท่านเสียจังพี่น้องเอ๋ย อย่ามองผ่านเลย นิ่งเฉยลงทุนทำนา น้ำเขื่อนไม่มี ดูคลองแห้งเห็นเต็มตา ค่อยๆ คำนวณดูหนา คุ้มค่ากันไหม

กระทรวงเกษตรขอมาร้องบอก บ้านในบ้านนอก ไม่หลอกให้ท่านปวดใจ ถ้าหากทำนา น้ำยังไม่มาไม่ไหล พักรออีกเดือนได้ไหม ห่วงใยพี่น้องชาวนา

(* ซ้ำอีก 1 รอบ จนจบ)

จากแผ่น ซีดี เพลงชลประทาน งานเพื่อแผ่นดินไทย ในอัลบั้ม “รวมบทเพลงชลประทาน” ซึ่งรวบรวมโดย กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน บันทึกไว้ตั้งแต่ มิถุนายน 2554 มีหลายกลุ่มเพลง เช่น A : เพลงเทิดพระเกียรติ B : เพลงชลประทาน C, D, E, F, : เพลงชลประทานแต่ละภาค ทั้ง 4 ภาค และ G : ดนตรีบรรเลง สำหรับเพลง “อ้อนชาวนา” อยู่ในกลุ่มเพลงชลประทาน ลำดับที่ 19 เสียดายที่ไม่ได้บอกชื่อผู้ขับร้อง แต่เมื่อได้ฟังทั้งเสียงและท่วงทำนองแล้ว น้ำเสียงของ “แมนชล” ท่านนี้ ถ้าออกอากาศเผยแพร่สื่อต่างๆ แล้วไม่ต้อง “อ้อนชาวนา” หรอก เพราะเหล่าเกษตรกรอาจจะออดอ้อนหลงเสียง คิดว่าเป็นเสียงของน้องชาย “ก๊อต จักรพรรณ์” จนลืมสูบน้ำทำนา

ขอขอบคุณ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ ที่กรุณาเผยแพร่เอกสารและสื่อสารบทเพลงที่เป็นประโยชน์ รณรงค์ให้รู้คุณค่าของน้ำ ทรัพยากรของชาติ ที่เป็นดั่งสายโลหิตชีวิตและผู้คน ดังจะกล่าวได้ว่า “คนรักน้ำต้องรักษ์ชล เกษตรกรทุกคน รัก…ชลประทาน”

Leave a comment