เกษตรกรรุ่นใหม่พะเยา เปลี่ยนนาข้าวเป็นทุ่งดาวเรืองตัดดอก ขายรายได้หลักแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05032150359&srcday=2016-03-15&search=no

วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 619

ไม้ดอกไม้ประดับ

การุณย์ มะโนใจ

เกษตรกรรุ่นใหม่พะเยา เปลี่ยนนาข้าวเป็นทุ่งดาวเรืองตัดดอก ขายรายได้หลักแสน

เกษตรกรรุ่นใหม่ของจังหวัดพะเยาประสบปัญหาภัยแล้ง พลิกวิกฤติเป็นโอกาส หันไปปลูกดาวเรืองตัดดอก จำนวน 5 ไร่ ทำรายได้ไร่ละแสน

จากการลงพื้นที่กับ คุณนิรชรา วงศ์ไชย เกษตรอำเภอเมืองพะเยา ไปที่แปลงปลูกดอกดาวเรือง ของ คุณชวิศ รักไทยดี เกษตรกรรุ่นใหม่ วัย 27 ปี หรือ น้องไผ่ ที่ไร่ไผ่ทิพย์ บ้านเกษตรสุข ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา น้องเล่าให้ฟังว่า หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วได้ไปทำงานกับคุณลุง ซึ่งผลิตปุ๋ยอินทรีย์จำหน่ายที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำหน้าที่ฝ่ายตลาดและส่งเสริมการขาย มีโอกาสลงพื้นที่ติดตามการใช้ปุ๋ยดังกล่าวของเกษตรกร และพบเกษตรกรบางรายปลูกดาวเรืองเพื่อตัดดอกขาย มีความสนใจ จึงศึกษาค้นคว้าจากสื่อทางอินเตอร์เน็ต และจากเกษตรกรรายอื่นที่ปลูกอยู่แล้ว ศึกษาช่องทางตลาด พบว่า มีตลาดรองรับแน่นอนที่ปากคลองตลาด กรุงเทพฯ

ในส่วน คุณนิรชรา เกษตรอำเภอเมืองพะเยา ได้ให้ข้อมูลทางวิชาการว่า ดาวเรือง มีชื่ออื่น เช่น คำปู้จู้ คำปู้จู้หลวง (พายัพ) บ่วงสิ่วเก็ก เฉาหู้ยัง กิมเก็ก (จีน) ดาวเรืองนิยมปลูกตัดดอก เป็นดาวเรืองในกลุ่ม African หรือ American marigold เป็นพันธุ์ดอกใหญ่ พันธุ์ที่ใช้เป็นการค้าในประเทศไทย ได้แก่ พันธุ์ซอเวอเรน นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่นำเข้ามา ได้แก่ พันธุ์จาไมก้า (jamaica) และอื่นๆ อีกหลายพันธุ์

ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่คนไทยนิยมปลูกกันมาก เนื่องจากเมล็ดมีขนาดใหญ่ ปลูกง่าย งอกเร็ว ต้นโตเร็ว และแข็งแรง ไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงรบกวน ให้ดอกเร็ว ดอกดก มีหลายชนิดและหลายสี รูปทรงของดอกสวยงาม สีสันสดใส บานทนนานหลายวัน สามารถปักแจกันได้นาน 1-2 สัปดาห์ ให้ดอกในระยะเวลาสั้น คือประมาณ 60-70 วัน หลังปลูก ดังนั้น ในการปลูกดาวเรืองสามารถกำหนดระยะเวลาการออกดอกให้ตรงกับเทศกาลสำคัญได้ จึงมีผู้นิยมปลูกและใช้ดาวเรืองกันมาก นอกจากนี้ ยังสามารถปลูกได้ตลอดปี และปลูกได้ทุกจังหวัดในประเทศไทย ดาวเรืองเป็นไม้ดอกที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกสูง ในปัจจุบันการปลูกดาวเรืองนอกจากปลูกเพื่อตัดดอกขายแล้ว ยังนิยมปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติก เพื่อประดับตกแต่งอาคารสถานที่ และปลูกเพื่อตัดดอกส่งโรงงานอาหารสัตว์อีกด้วย

การปลูกดาวเรืองในประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบเพียงว่า ดาวเรือง ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าพันธุ์ดาวเรืองจากต่างประเทศมาปลูกเป็นเวลานาน จนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้ดี มีการกระจายตัวของสายพันธุ์มาก ทั้งทางด้านรูปทรงดอก ขนาดดอก ลักษณะการเจริญเติบโต ตลอดจนการต้านทานต่อโรคและแมลง ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกดาวเรือง ประมาณ 4,000 ไร่ มีแหล่งปลูกที่สำคัญคือ จังหวัดพะเยา ลำปาง นนทบุรี กรุงเทพฯ ราชบุรี สมุทรสาคร สุพรรณบุรี และอุดรธานี

ดาวเรืองที่ปลูกกันอยู่โดยทั่วไป แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

ดาวเรืองอเมริกัน (American Marigolds) เป็นดาวเรืองที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกา ลำต้นสูง ตั้งแต่ 10-40 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง และขาว กลีบดอกซ้อนกันแน่น ดอกมีขนาดใหญ่ ประมาณ 3-4 นิ้ว ดาวเรืองชนิดนี้มีหลายพันธุ์ ได้แก่

พันธุ์เตี้ย สูงประมาณ 10-14 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ปาปาย่า (papaya) ไพน์แอปเปิล (pineaple) ปัมพ์กิน (Pumpkin) เป็นต้น

พันธุ์สูงปานกลาง สูงประมาณ 14-16 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์อะพอลโล (Apollo) ไวกิ้ง (Ziking) มูนช็อต (Moonshot) เป็นต้นพันธุ์สูง สูงประมาณ 16-36 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ดับเบิล อีเกิล ดับบลูน ซอเวอเรน เป็นต้น

ดาวเรืองฝรั่งเศส เป็นดาวเรืองต้นเล็ก ต้นเป็นพุ่มเตี้ยๆ สูงประมาณ 6-12 นิ้ว ดอกสีเหลือง ส้ม ทอง น้ำตาลอมแดง และสีแดง ดอกมีขนาดเล็ก ประมาณ 1.5 นิ้ว นิยมปลูกประดับในแปลงมากกว่าปลูกเพื่อตัดดอก เนื่องจากมีก้านดอกสั้น นอกจากนี้ ยังเป็นดาวเรืองที่สามารถลดปริมาณไส้เดือนฝอยที่ทำให้เกิดอาการรากปมในรากพืชได้ ตัวอย่าง ดาวเรืองฝรั่งเศส ได้แก่

พันธุ์ดอกชั้นเดียว ดอกมีขนาด 1.5-2 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์เรด มาเรตต้า, น็อธตี้ มาเรตต้า, เอสปานา, ลีโอปาร์ด เป็นต้น

พันธุ์ดอกซ้อน ดอกมีขนาดตั้งแต่ 1.5-3 นิ้ว ได้แก่ พันธุ์ควีน โซเฟีย, สการ์เลต โซเฟีย, โกลเด้น เกต เป็นต้น

ดาวเรืองพันธุ์ลูกผสม เป็นดาวเรืองลูกผสมระหว่างดาวเรืองอเมริกันและดาวเรืองฝรั่งเศส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำลักษณะความแข็งแรง ดอกใหญ่ และมีกลีบซ้อนมากของดาวเรืองอเมริกัน รวมเข้ากับลักษณะต้นเตี้ยทรงพุ่มกะทัดรัดของดาวเรืองฝรั่งเศส ดาวเรืองลูกผสมให้ดอกเร็วมาก คือเพียง 5 สัปดาห์ หลังจากเพาะเมล็ด ดอกมีขนาด 2-3 นิ้ว ดอกดก และอยู่กับต้นได้ดี ดาวเรืองชนิดนี้มีข้อเสียก็คือ เมล็ดจะลีบ ไม่สามารถนำมาเพาะให้เป็นต้นใหม่ได้ จึงเรียกว่า ดาวเรืองล่อ เช่นเดียวกับการผสมม้ากับลา มีลูกออกมาเรียกว่า ล่อ ซึ่งเป็นหมัน จึงทำให้เมล็ดมีราคาแพงมาก และการปลูกดาวเรืองด้วยเมล็ดชนิดนี้ จึงควรใช้เมล็ดเป็นปริมาณ 2 เท่า ของจำนวนที่ต้องการ เนื่องจากเมล็ดมีเปอร์เซ็นต์ความงอกต่ำ ดาวเรืองลูกผสมที่นิยมปลูกมีอยู่หลายพันธุ์คือ พันธุ์นักเก็ต ไฟร์เวิร์ก, เรด เซเว่น สตาร์ และโชว์โบ๊ต

วิธีการขยายพันธุ์

ทำได้โดยการใช้เมล็ดและการปักชำ แต่วิธีที่นิยมทำคือ การใช้เมล็ด เพราะได้จำนวนมากกว่า โดยนำเมล็ดดาวเรืองมาเพาะในกระบะเพาะ ซึ่งมีวัสดุเพาะ คือ ขุยมะพร้าว ทราย ขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1:1 หรือแปลงเพาะที่มีดินร่วนซุยค่อนข้างละเอียด คราดดินให้ผิวดินเรียบสม่ำเสมอ ทำร่องบนกระบะเพาะหรือแปลงเพาะให้ลึก ประมาณ 0.5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร แต่ละร่องห่างกัน 5 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงร่องห่างกัน 1-2 นิ้ว แล้วกลบแต่ละร่องด้วยวัสดุเพาะ หรือดินละเอียดเพียงบางๆ รดน้ำด้วยฝักบัวฝอยให้ชุ่ม แล้วคลุมกระบะเพาะด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือคลุมแปลงเพาะด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อรักษาความชื้น เมล็ดดาวเรืองจะงอกภายใน 3-5 วัน เป็นต้นกล้า

วิธีการปลูก

ไถเตรียมดิน หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไป ประมาณ 1 ตัน ต่อไร่ ยกร่องแปลงปลูก กว้าง 1 เมตร รดน้ำแปลงไว้ล่วงหน้า 1 วัน ขุดหลุมกว้าง 15 เซนติเมตร แปลงละ 3 แถว ระยะระหว่างแถว 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 30 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยทริปเปิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต หรือสูตร 15-15-15 ประมาณ 1 ช้อนชา รองก้นหลุม แล้วเกลี่ยดินข้างหลุมมากลบปุ๋ยเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้รากดาวเรืองสัมผัสปุ๋ยโดยตรง นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน (นับจากวันเพาะเมล็ด) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุมที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้น ต้องรดน้ำเช้า-เย็น ประมาณ 7 วัน ซึ่งต้นกล้าจะตั้งตัวได้ดี แล้วจึงรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้า ในช่วงที่ดอกดาวเรืองเริ่มบาน ไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค เมื่อดาวเรืองอายุ 15 วัน และ 25 วัน ควรใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 1 ช้อน : ต้น เมื่ออายุ 35 วัน และ 45 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ในอัตราเดียวกัน โดยวิธีฝังลงในดินตื้นๆ ห่างโคนต้น 6 นิ้ว แล้วรดน้ำให้ชุ่มทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ย ช่วงดาวเรืองอายุ 21-25 วัน ซึ่งเป็นระยะที่ต้นมีใบจริงขนาดใหญ่ ประมาณ 4 คู่ และส่วนยอดมีใบเล็กๆ 1-2 คู่ จะต้องปลิดยอดทิ้ง เพื่อให้แตกกิ่งข้าง โดยใช้มือซ้ายจับคู่ใบบนสุดที่จะเหลือไว้ แล้วใช้มือขวาดึงส่วนยอดลงทางด้านข้างจนหลุดออกมา หลังจากนั้น 5-7 วัน ตาข้างจะเริ่มแตกและเจริญเป็นกิ่งใหม่ ซึ่งจะติดตุ่มดอกทั้งที่ตายอดปลายกิ่งและตาข้าง หลังจากปลูก 40-45 วัน ในแต่ละกิ่ง เมื่อดอกยอดมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด ดอกข้างมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต้องรีบปลิดดอกข้างออกให้หมดภายใน 2-3 วัน คงเหลือดอกยอดไว้ดอกเดียว เพื่อให้ดอกมีขนาดใหญ่ หลังจากนั้น ประมาณ 20 วัน (อายุ 60-65 วัน) ก็ตัดดอกไปจำหน่ายได้ ซึ่งจะได้ประมาณ 10-12 ดอก ต่อต้น

หลังจากย้ายปลูกลงแปลงครบ 10 วัน หรือสังเกตจากดาวเรืองมีใบจริง จำนวน 3 คู่ ให้เด็ดยอดดาวเรืองออก เพื่อให้เกิดการแตกของกิ่งข้างของดาวเรือง โดยวิธีการเด็ดยอดคือ ใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งจับตรงโคนของยอดดาวเรือง ยอดบนสุด แล้วเด็ดยอดออก พยายามเด็ดยอดให้ชิดโคนยอดและให้ยอดหลุด อย่าให้เกิดบาดแผลจากการเด็ดยอด (การเด็ดยอดดาวเรือง ควรเด็ดยอดในช่วงเช้า เนื่องจากดาวเรืองจะอวบน้ำอยู่ และหลังจากเด็ดยอดควรพ่นยาป้องกันกำจัดเชื้อรากลุ่มไดเทน) หลังจากเด็ดยอดแล้ว ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อต้น โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 20 เซนติเมตร (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช (ในช่วงนี้หากเป็นฤดูฝนให้เริ่มทำค้างสำหรับป้องกันต้นดาวเรืองล้ม เพราะหากทำค้างดาวเรืองเกินไปจากช่วงนี้ รากของดาวเรืองจะเจริญเติบโตมาก จะทำให้การทำไม้หลักปักค้างดาวเรืองโดนใส่รากดาวเรือง หลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (เริ่มเห็นตุ่มดอก) ให้ใส่ปุ๋ย สูตร 15-0-0 อัตรา 2 กรัม (1 ช้อนชา) ต่อต้น ร่วมกับปุ๋ยสูตร 0-0-60 อัตรา 1 กรัม (ครึ่งช้อนชา ต่อต้น) โดยหว่านปุ๋ยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 20 เซนติเมตร (หนึ่งฝามือ) พร้อมกับพูนโคนและกำจัดวัชพืช ในกรณีที่ต้องใช้ปุ๋ย 2 สูตร รวมกัน ให้ผสมก่อนแล้วค่อยใส่ลงในแปลง เช่น ผสมปุ๋ย 15-0-0 อัตรา 1,000 กรัม (1 กิโลกรัม) รวมกับปุ๋ย สูตร 0-0-16 อัตรา 500 กรัม (ครึ่งกิโลกรัม) สามารถนำไปใช้กับต้นดาวเรืองได้ทั้งหมด 500 ต้น ต้นละ 3 กรัม ในกรณีที่ไม่สามารถหาปุ๋ย สูตร 15-0-0 หรือ 0-0-60 ได้ ให้ใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 แทนโดยใช้ในอัตรา 3 กรัม (ครึ่งช้อนโต๊ะ) ต่อต้น ทั้ง 2 ระยะ หลังการให้ปุ๋ยจะต้องให้น้ำตามทุกครั้งเสมอ การพ่นปุ๋ยทางใบและอาหารเสริม ช่วงหลังจากย้ายปลูก 35-40 วัน (ช่วงเป็นตุ่มดอก) ให้เริ่มพ่นอาหารเสริมพวกแคลเซียมโบรอน และอาหารเสริมต่างๆ ยกเว้นธาตุอาหารเสริมกลุ่มที่เป็นธาตุเหล็ก (Fe) โดยพ่นทุกๆ 3-4 วัน ก่อนที่ตุ่มดอกจะเริ่มเห็นสีดอก ช่วงหลังจากย้ายปลูกแล้ว ประมาณ 70-75 วัน (เก็บดอกแล้ว ประมาณ 3-4 มีด) ให้พ่นปุ๋ยทางใบ สูตร 2:2:3 (N:P:K) เช่น ปุ๋ยทางใบ สูตร 20:20:30 โดยพ่นทุก 5-7 วัน ประมาณ 2-3 ครั้ง หลังจากพ่นครั้งแรก การให้น้ำ ดาวเรืองเป็นพืชที่ชอบการให้น้ำในลักษณะให้น้อยๆ แต่บ่อยๆ ครั้ง หรือชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะและน้ำท่วมขัง

ประโยชน์

ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากชนิดหนึ่ง นอกจากจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย การนำดาวเรืองไปใช้ประโยชน์ สรุปได้ดังนี้

ปลูกประดับเพื่อความสวยงาม ดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีความสวยงาม กลีบดอกสีเหลืองเรียงอัดกันแน่น และมีอายุการใช้งานนาน ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับปลูกเพื่อประดับอาคารบ้านเรือนและสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินตา สบายใจ

ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในการป้องกันแมลง เนื่องจากดาวเรืองเป็นสารที่มีกลิ่นเหม็น (ฉุน) แมลงไม่ชอบ จึงสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันแมลงให้แก่พืชอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ รากของดาวเรืองยังมีสารชนิดหนึ่งที่ช่วยลดปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้

ปลูกเพื่อจำหน่าย

ใช้ทำพวงมาลัย ปัจจุบัน นิยมนำดาวเรืองมาร้อยพวงมาลัยกันมาก ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยไหว้พระ หรือพวงมาลัยสำหรับคล้องคอในงานพิธีต่างๆ การตัดดอกดาวเรือง สำหรับใช้ประโยชน์ในด้านนี้จะต้องให้มีก้านดอกสั้น หรือเหลือเฉพาะดอก

ใช้ปักแจกัน เนื่องจากดาวเรือง เป็นไม้ดอกที่มีลักษณะกลมเรียงตัวกันแน่นเป็นระเบียบและมีสีสันสวยงาม จึงมีคนนิยมนำมาปักแจกันมาก ไม่ว่าจะเป็นแจกันตั้งตามโต๊ะรับแขก ตามหิ้งพระ หรือแจกันประกอบโต๊ะหมู่บูชา การตัดดอกดาวเรืองเพื่อนำมาปักแจกันนี้ควรตัดให้มีก้านดอกยาว ประมาณ 18-20 นิ้ว มัดดอกดาวเรืองเป็นกำๆ แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อเพื่อให้ดอกดาวเรืองคงความสดอยู่ได้นานๆ

การปลูกลงกระถางหรือถุง เพื่อประดับอาคารสถานที่ ปัจจุบัน มีการนำกระถางหรือถุงดาวเรืองมาประดับอาคารสถานที่กันมากขึ้น เพราะสามารถใช้ประดับไว้เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีต่างๆ เช่น งานนิทรรศการ งานพระราชทานปริญญาบัตร หรือแม้แต่งานพิธีตามอาคารบ้านเรือน การปลูกดาวเรืองเพื่อใช้ประโยชน์ ในด้านนี้ก็เหมือนกับการปลูกดาวเรือง โดยทั่วไป เพียงแต่เป็นการปลูกลงในกระถางหรือถุง แทนที่จะปลูกลงในแปลงดอก ดาวเรืองเริ่มบานก็นำไปใช้ประโยชน์หรือ จำหน่ายได้

จำหน่ายให้กับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากดาวเรืองเป็นพืชที่มีสารแซธโธฟีลสูง เมื่อตากให้แห้งจะสามารถนำไปเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ได้ดี โดยเฉพาะอาหารของไก่ไข่ จะทำให้ไข่แดงมีสีแดงสดใสน่ากินยิ่งขึ้น โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีดอกสีส้มแดง

คุณชวิศ ได้ให้ข้อมูลการปลูกดาวเรืองว่า หลังจากที่ทราบแหล่งรับซื้อแล้ว จึงตัดสินใจกลับมาบ้านที่เกษตรสุข ตำบลแม่กา อำเภอเมืองพะเยา ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาพื้นที่การเกษตรของแม่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ข้าวที่ปลูกไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงตัดสินใจพลิกผืนนาปลูกดาวเรืองแทน จำนวน 5 ไร่ ดาวเรืองสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในสภาพอากาศหนาวและร้อน แล้วแต่สายพันธุ์ หลังจากเพาะกล้าได้ 15 วัน ก็นำลงปลูกในแปลงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ของคุณลุงที่ผลิตขายลงผสมในแปลงปลูก การให้น้ำใช้ระบบน้ำหยด ซึ่งสามารถใช้น้ำได้ประหยัด จนอายุครบ 45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตขายได้ทุกวัน ราคาเริ่มที่ 30 สตางค์ ถึง 1 บาท ต่อดอก ต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าแรงงาน ค่าปุ๋ย ค่าน้ำ ค่าไฟ ราวๆ 60,000 บาท ต่อไร่ สามารถเก็บดอกขายได้เฉลี่ย ไร่ละ 100,000 บาท กำไร ต่อไร่ ประมาณ 40,000 บาท สร้างรายได้รวมระยะเวลาตลอดอายุของต้นดาวเรือง 4 เดือน จำนวน 200,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับการทำนาแล้ว ถือว่าสร้างรายได้งดงามหลายเท่าตัว สำหรับตลาด ทางคุณชวิศ ส่งขายที่ปากคลองตลาด โดยตัดดอกช่วงเช้า บ่ายคัดเกรดบรรจุกล่อง ฝากส่งทางรถขนส่งไปที่ปากคลองตลาด และจังหวัดใกล้เคียง โดยปัจจุบันผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ปัญหาการปลูกดอกดาวเรือง คือในช่วงที่ดาวเรืองออกดอก หากประสบกับฝนตกและลมแรง จะทำให้ดอกหักเสียหาย เน่า ขายไม่ได้ ระยะต่อไปจะปรับไปปลูกในโรงเรือนเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว และจะปลูกในระบบอินทรีย์ งดการใช้สารเคมี เพื่อความปลอดภัยของคนปลูกและผู้ที่นำดอกดาวเรืองไปใช้ประโยชน์

ผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สอบถามได้ตามที่อยู่ หรือ โทร. (089) 266-2499

Leave a comment