ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ส.ค. 2559 06:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/685256

ธปท.ระบุ ประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ลดความกังวลการเมืองสร้างความมั่นใจนักลงทุน หวังเห็นการลงทุนภาคเอกชน เพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง แต่ยังเป็นห่วงการขยายตัวเฉลี่ยของประเทศ ในช่วงหลังต้มยำกุ้ง ชะลอลงเหลือปีละ 3-4% ส่งผลให้รายได้ของคนไทยขยายตัวได้ยากมากขึ้น ติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน มีมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ และจะเป็นปัจจัยบวก ที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ปรับตัวลดลงอีกระดับหนึ่ง เพราะคาดว่าจะมีการเลือกตั้งตามตารางเวลา (โรดแม็ป) ที่ได้วางไว้ก่อนหน้า และยังเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในกับภาคธุรกิจ การลงทุนทั้งนักลงทุนไทย นักลงทุนต่างประเทศ รวมทั้งเป็นประโยชน์ต่อภาคการลงทุนในระยะต่อไป โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง แต่การฟื้นตัวของการลงทุน จะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การผ่านรัฐธรรมนูญ จะกดปุ่มให้เกิดขึ้นทันทีได้ แต่อย่างน้อยก็จะทำให้มีการวางยุทธศาสตร์ของประเทศที่ชัดเจนมากขึ้น
“ผลคะแนนการลงประชามติ แตกต่างกันระหว่างภูมิภาค มีบางภาครับ หรือไม่รับ ส่วนหนึ่งยังสะท้อนถึงความขัดแย้งเดิมที่มีอยู่ แต่ไม่ใช่สิ่งใหม่เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนทราบกันอยู่แล้ว ผลของการรับร่างรัฐธรรมนูญในตลาดเงิน ตลาดหุ้น แสดงความมั่นใจ โดยเห็นเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ไหลเข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้น สะท้อนได้ชัดเจนจากการที่ดัชนีราคาหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 21 จุด เมื่อเช้าวันที่ 8 ส.ค. ขณะที่ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 35.01-35.03 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯเป็นการแข็งค่าในระยะสั้น จากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ”
สำหรับปัจจัยในตลาดเงินและตลาดทุน คงไม่ใช่ปัจจัยเรื่องการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยภายนอกประเทศ ที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางค่าเงินบาท เช่น เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ก็ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น ภาคเอกชนและนักลงทุน จึงชะล่าใจในเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เพราะปัจจัยภายนอก ยังมีความสำคัญมาก
นายวิรไทกล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยประสบกับความผันผวนมาอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยภายนอกและในประเทศ แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้น ความผันผวนจะลดลง แต่การฟื้นตัวไม่กระจายในทุกภาคส่วน และยังมีความเปราะบางอยู่ การมุ่งเน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้นๆ ยังไม่ได้แก้ปัญหา ที่เรายังคงต้องเผชิญหน้า ซึ่งเป็นปัญหาที่หนักและใหญ่กว่าเดิม คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไทย ที่นับวันจะแสดงอาการออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เฉลี่ยของไทยลดต่ำลง เหลือเพียง 3-4% ต่อปี หลังช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านั้น ประเทศไทยเคยขยายตัวสูง 6-7% และเมื่ออัตราการเติบโตต่ำลงนี้ กลายเป็นฐานของเศรษฐกิจไทยทำให้รายได้ของคนไทยขยายตัวได้ยากมากขึ้น ติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ขณะที่หลายๆประเทศมีรายได้ประชากรแซงหน้าประเทศไทย
“หากต้องการที่ยกระดับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สร้างการขยายตัวของเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น จะต้องแก้ไขในหลายๆ เรื่อง อาทิ ปัญหาการขาดการลงทุนเป็นเวลานาน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง รวมทั้งต้องปฏิรูปการศึกษา ขณะที่ในการพัฒนาใหม่ๆ ต้องดูแลปัญหาทักษะแรงงานของแรงงานควบคู่ไปด้วย”
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเมืองเพียงอย่างเดียว หลักการสำคัญ คือการกระจายอำนาจทางการเมืองสู่ท้องถิ่น ให้มีการเลือกตั้งในทุกระดับ เพื่อให้มีผู้นำชุมชนแก้ไขปัญหาในท้องถิ่นเอง.