กรมประมงเจ๋ง เพาะโคพีพอด ในบ่อดิน ได้แล้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05086010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620

เทคโนประมง

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

กรมประมงเจ๋ง เพาะโคพีพอด ในบ่อดิน ได้แล้ว

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ “อาหาร” ถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากปัจจัยหนึ่ง โดยเฉพาะสำหรับสัตว์น้ำวัยอ่อน ชนิดและขนาดของอาหารต้องมีความสัมพันธ์กับระยะการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ

“แพลงตอน” ถือเป็นอาหารตามธรรมชาติขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายทอดพลังงานในห่วงโซ่อาหาร จัดเป็นแหล่งอาหารขนาดใหญ่ ที่มีความสำคัญมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นน้ำจืด น้ำกร่อย หรือน้ำทะเล

โดยทั่วไปแพลงตอนจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการสังเคราะห์อาหาร ได้แก่ แพลงตอนพืช และแพลงตอนสัตว์ ซึ่งชนิดและปริมาณของแพลงตอนที่พบในแหล่งน้ำนอกจากจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำได้แล้วนั้น แพลงตอนยังมีประโยชน์ในด้านการรักษาคุณภาพน้ำได้อีกด้วย

เนื่องจากขณะที่แพลงตอนมีการสังเคราะห์แสง จะมีการปล่อยออกซิเจนออกมาละลายในน้ำและจะนำสารอินทรีย์ที่ไม่เป็นพิษต่อสัตว์น้ำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่น แอมโมเนีย ไนไตรต์ หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น

ดร. วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำวัยอ่อนนอกจากการมีระบบการอนุบาลสัตว์น้ำที่ดีแล้ว การได้กินอาหารที่ดีก็จะส่งผลให้สัตว์น้ำมีอัตราการรอดเพิ่มมากขึ้น อาหารที่ดีของสัตว์น้ำขนาดเล็กจะต้องมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนเพียงพอกับความต้องการของสัตว์น้ำวัยอ่อน เพื่อที่จะพัฒนารูปร่างให้เป็นแบบเดียวกับพ่อแม่

ปัจจุบัน ทางกรมประมงสามารถเพาะเลี้ยงแพลงตอนทั้งชนิดที่เป็นพืชและสัตว์ได้หลากหลายชนิด อาทิ คลอเรลลา คีโตเซอรอส สเกลีโตนีมา โรติเฟอร์ อาร์ทีเมีย ฯลฯ เพื่อช่วยลดต้นทุนในเรื่องของอาหารและการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

ล่าสุดนี้ กรมประมง ได้มีการทดลองเพาะเลี้ยงโคพีพอดในบ่อดินได้สำเร็จอีกหนึ่งชนิด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

นายสุทธิชัย ฤทธิธรรม ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กล่าวว่า โคพีพอด (Copepod) เป็นแพลงตอนสัตว์ที่พบในทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน นับเป็นห่วงโซ่อาหารสำคัญที่เชื่อมระหว่างแพลงตอนพืชกับสัตว์น้ำ โคพีพอดมีองค์ประกอบของสารอาหารสำคัญทางโภชนาการที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการรอดของสัตว์น้ำวัยอ่อน อาทิ โปรตีนและกรดไขมันที่จำเป็น โดยเฉพาะ DHA EPA ฯลฯ ซึ่งสัตว์น้ำกร่อยหรือสัตว์ทะเลไม่สามารถผลิตกรดไขมันเหล่านี้ขึ้นเองได้ ดังนั้น การศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนเพื่อเพิ่มอัตรารอดให้มากที่สุดก็ย่อมส่งผลต่อปริมาณผลผลิตสัตว์น้ำอีกด้วย

จากคุณประโยชน์ดังกล่าว โคพีพอด จึงถูกจัดเป็นอาหารมีชีวิตที่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมักนำไปใช้ร่วมกับโรติเฟอร์และอาร์ทีเมีย ในการอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม อาทิ ปลานิล ปลากะพงขาว ปลากะรัง ปลาการ์ตูน เป็นต้น

นางพิชญา ชัยนาค นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมในฐานะที่เป็นนักวิชาการผู้เพาะเลี้ยงโคพีพอดในบ่อดินว่า ลักษณะโดยทั่วไปของโคพีพอดลำตัวจะมีรูปร่างยาวรี ลำตัวจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัว อก และท้อง นับเป็นอาหารธรรมชาติขนาดเล็กที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้เป็นอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อน เนื่องจากโคพีพอดมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อพัฒนาการของสัตว์น้ำวัยอ่อนและสามารถย่อยได้ง่ายในระบบทางเดินอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งมีการพัฒนาระบบการมองเห็นและระบบทางเดินอาหารยังไม่สมบูรณ์ จึงเป็นข้อจำกัดในการจับกินและการย่อยอาหารในช่วงแรกหลังฟักออกจากไข่

“ซึ่งในช่วงระยะเวลา 1-3 วัน หลังจากที่สัตว์น้ำฟักตัวออกจากไข่ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะกำหนดให้เราทราบว่าสัตว์น้ำที่เราเพาะพันธุ์นั้นมีอัตราการรอดมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากสัตว์น้ำวัยอ่อนเริ่มรับอาหารจากภายนอกหลังจากถุงไข่แดงยุบในช่วงระยะเวลานี้ ซึ่งจากการทดลองวิจัยพบว่าโคพีพอดระยะตัวอ่อนมีขนาดเล็กกว่า โรติเฟอร์จึงเหมาะสมต่อการกินของสัตว์น้ำวัยอ่อนที่มีขนาดความกว้างของปากค่อนข้างเล็กช่วยเพิ่มการรอดตาย” นางพิชญา กล่าว

สำหรับวิธีเพาะขยายพันธุ์โคพีพอด ทางศูนย์ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมบ่อ ทำคอกใส่ปุ๋ย ทำโพงพางในบ่อดินเพื่อใช้สำหรับดักเก็บโคพีพอด ปรับปรุงดินพื้นบ่อด้วยการโรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ ติดตั้งระบบให้อากาศและการหมุนเวียนน้ำภายในบ่อดิน

โดยหลังเปิดน้ำเข้าบ่อ ให้ได้ระดับน้ำในบ่อลึกประมาณ 30-50 เซนติเมตร เพื่อกระตุ้นให้อาหารธรรมชาติมีเพิ่มมากขึ้น กำจัดศัตรูต่างๆ ของโคพีพอด เช่น ลูกกุ้ง ลูกปลา ด้วยการโรยกากชา 20-25 กิโลกรัม ต่อไร่ ให้ทั่วบ่อ และแช่ทิ้งไว้ในบ่อดิน 3-5 วัน

ในการเตรียมน้ำ น้ำที่ใช้เลี้ยงควรอยู่ในช่วงความเค็ม 15-30 ความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 7-8 ปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง ด้วยปูนขาว การเตรียมอาหารมีชีวิต จะทำแพลงตอนที่เป็นอาหารมีชีวิตให้กับโคพีพอดด้วยการใส่ปุ๋ยคอก

เมื่อน้ำเริ่มมีสีเขียวเพิ่มมากขึ้นให้ชักน้ำเข้าบ่อมากขึ้นจนมีระดับลึกประมาณ 1.6-1.8 เมตร สีน้ำที่เหมาะสมต่อการเกิดแพลงตอนควรมีสีเขียวอมน้ำตาล

สำหรับพ่อแม่พันธุ์ การลงพ่อแม่พันธุ์โคพีพอดระยะโคพีโพไดซ์-ตัวเต็มวัย การจัดการการผลิตโคพีพอดในบ่อดิน หลังจากเตรียมอาหารมีชีวิตเสร็จ ประมาณ 3-5 วัน นำพ่อแม่พันธุ์โคพีพอดลงเลี้ยง ประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้โดยเปิดใบพัดตีน้ำ โคพีพอดจะเข้าถุงโพงพาง จากนั้นเก็บโคพีพอดด้วยสวิง

หลังจากเก็บเกี่ยวได้ 5-7 วัน โคพีพอดจะเริ่มลดลง จึงควรเติมอาหารที่ทำให้เกิดแพลงตอนลงไป เช่น ปุ๋ยคอก เศษปลาสด เป็นต้น โดยเติมอาหารลงไปจากเดิมครึ่งหนึ่งหรือปรับปริมาณจากการสังเกตปริมาณโคพีพอดในบ่อ โคพีพอดจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นอีกภายใน 7-8 วัน

นายธวัช ศรีวีระชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับผลการวิจัยในขณะนี้ถือว่าน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ทางศูนย์วิจัยฯ สามารถผลิตโคพีพอดได้ประมาณเดือนละ 100-120 กิโลกรัม ราคาขายอยู่ที่ กิโลกรัมละ 300 บาท และคาดว่าต่อไปอนาคตหากโคพีพอดจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดต้นทุนให้กับผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

สำหรับการต่อยอดการวิจัยโคพีพอดในบ่อดิน ทางศูนย์มีแผนที่จะพัฒนาเป็นการเลี้ยงโคพีพอดความหนาแน่นสูงในถังไฟเบอร์กลาสเพื่อให้ได้ปริมาณมากในพื้นที่จำกัด ง่ายต่อการดูแลและการควบคุมโรคที่ส่งผลต่อการเลี้ยงโคพีพอดและการใช้เป็นอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน

ท่านใดสนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต โทร. (076) 621-821-2

น้อมนำพระราชดำริบริหารการผลิตและตลาด

ศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ในรูปแบบสหกรณ์

เมื่อเร็วๆ นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปยังศูนย์ภูฟ้าพัฒนา อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ทรงติดตามการดำเนินงานของศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และส่วนท้องถิ่น ร่วมสนองพระราชดำริมาตั้งแต่เริ่มดำเนินงาน ทั้งนี้ในการส่งเสริมด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ พร้อมส่งเสริมการขายในรูปแบบรวมกลุ่มนั้น ทางศูนย์ได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ ด้วยการจัดตั้งเป็น สหกรณ์การเกษตรภูฟ้าพัฒนา จำกัด ขึ้น มีสำนักงานตั้งอยู่ที่ 479 หมู่ที่ 2 ตำบลฝายแก้ว กิ่งอำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เข้ามาส่งเสริมสนับสนุนให้ศูนย์ภูฟ้าพัฒนามีการจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมา พร้อมส่งเสริมให้สมาชิกมีความเข้าใจในการนำวิธีการสหกรณ์มาใช้ในการบริหารจัดการผลผลิตทางการเกษตร ตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยว การรวบรวมผลผลิต และถ่ายทอดกระบวนการแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย และตรงตามความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจระบบตลาดของสินค้าแต่ละชนิด

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถวายรายงานถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการสหกรณ์ในศูนย์ภูฟ้าพัฒนา กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงให้ความสำคัญในระบบสหกรณ์ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้มีการเรียนการสอนวิชาการสหกรณ์ ให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และให้ขยายผลเข้าไปในโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำหรับสามเณร พร้อมกันนี้ทรงเล็งเห็นความสำคัญของราษฎรชาวไทยภูเขาที่ด้อยโอกาส จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งศูนย์ภูฟ้าพัฒนาขึ้น เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนาและถ่ายทอดความรู้การพัฒนาไปสู่พื้นที่ตามพระราชปณิธานของพระองค์

โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ร่วมสนองแนวพระราชดำริในการเข้าไปส่งเสริมอาชีพและมีการจัดตั้งสหกรณ์ที่ศูนย์ภูฟ้าพัฒนาขึ้นเพื่อบริหารจัดการผลผลิตหลักในพื้นที่ที่มีปัญหาในด้านการตลาด ได้แก่ ข้าวก่ำ ต๋าว กาแฟ กล้วย และหม่อนผลสด ในปีที่ผ่านมา กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้สนับสนุนให้สหกรณ์จัดซื้ออุปกรณ์เพื่อสนับสนุนกิจการด้านการตลาด ตลอดจนรวบรวมหม่อนผลสด และการแปรรูปต๋าวเป็นการเบื้องต้น เมื่อแปรรูปแล้วนอกจากส่งไปจำหน่ายที่ร้านศูนย์ภูฟ้าพัฒนา ส่วนหนึ่งทางกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เข้าไปส่งเสริมด้านการตลาด โดยจัดตั้งกาดภูฟ้าขึ้นมา ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายสินค้าของสหกรณ์เอง อีกส่วนสำนักงานสหกรณ์จังหวัดน่าน ช่วยประสานส่งไปจำหน่ายยังร้านค้าของสหกรณ์ ทั้งในและนอกพื้นที่

“ด้านการรวมกลุ่ม และการบริหารจัดการนั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เน้นการสร้างความเข้มแข็งอย่างมั่นคงและยั่งยืน ดังนั้น ใน ปี 2559 จึงมีแผนเร่งด่วน ในการส่งเสริมกลยุทธ์ด้านการผลิตและการตลาดให้กับสหกรณ์แบบครบวงจร ตั้งแต่ การผลิต การดูแลรักษา และการตลาด เพื่อให้สมาชิกสามารถลดต้นทุนการผลิต และจัดการเรื่องการตลาดได้ด้วยสหกรณ์เอง พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับศูนย์ภูฟ้าพัฒนาเพื่อจัดหาตลาดรองรับผลผลิตอีกด้วย” นายพิเชษฐ์ กล่าวในที่สุด

Leave a comment