ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05024010459&srcday=2016-04-01&search=no
| วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620 |
เทคโนการเกษตร
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ขยายผล สีคิ้วโมเดล สู่ชาวไร่เมืองน้ำดำ ผลผลิตมันสำปะหลัง พุ่งร้อยละ 20 แถมลดต้นทุน
“เบื้องต้นได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังตามแนวทางของ “สีคิ้วโมเดล” ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร มาถ่ายทอดให้กับชาวไร่มันสำปะหลังในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดฝึกอบรมเกษตรกรทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จำนวน 3 ครั้ง ตามช่วงการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง ครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่พันธุ์มันสำปะหลัง การจัดการดิน การจัดการปุ๋ย การให้น้ำ การกำจัดวัชพืช การสำรวจโรคและแมลงศัตรูมันสำปะหลัง การประเมินผลผลิตและวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อการผลิตมันสำปะหลัง”
“ขณะเดียวกันยังจัดทำแปลงเรียนรู้ในศูนย์วิจัยฯ โรงงานแป้งมัน และกลุ่มสหกรณ์ฯ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ดูงานการผลิตมันสำปะหลังที่เหมาะสมกับพื้นที่ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติจริงในแปลง เพื่อเป็นแบบให้เกษตรกรข้างเคียงได้เรียนรู้ต่อไป”
“จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันเกษตรกรภายใต้แนวทางประชารัฐ ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา มีเกษตรกรและเจ้าหน้าที่โรงงานแป้งมันในจังหวัดกาฬสินธุ์กว่า 100 ราย เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเกิดเกษตรกรเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีแปลงเรียนรู้เทคโนโลยีหลัก 6 ด้าน ในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ โรงงานแป้งมัน 3 แห่ง และพื้นที่ของกลุ่มเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเขาพระนอนฯ ทั้งยังพบว่า ผลผลิตมันสำปะหลังจากแปลงเกษตรกรที่เก็บเกี่ยว อายุ 10-11 เดือน อยู่ระหว่าง 4-5 ตัน ต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าวิธีที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่เดิม ประมาณ 20%”
คุณสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวตอนหนึ่งหลังพิธีเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ภายใต้โครงการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังจากผลการวิจัยสู่เกษตรกรจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างรายได้เพิ่ม” ซึ่งสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ขอนแก่น และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ จัดขึ้น ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ภายใต้การสนับสนุนจาก บริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น
อนึ่ง สำหรับ “สีคิ้วโมเดล” นั้น เป็นรูปแบบความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงขยายพันธุ์และปล่อยแตนเบียน และเรียนรู้เทคโนโลยีด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตมันสำปะหลัง จากหน่วยงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร ทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติในแปลงอย่างต่อเนื่อง ตามช่วงการเจริญเติบโตของพืช เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีต่างๆ อย่างลึกซึ้ง จากประสบการณ์ตรงที่ได้จากแปลงเรียนรู้ที่ดำเนินการโดยเกษตรกรผู้นำร่วมกับนักวิจัย ทำให้เกษตรกรได้พิสูจน์สิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ก่อนจะนำความรู้ที่ได้จากแปลงเรียนรู้ไปปฏิบัติในแปลงปลูกของตนเอง เพื่อเป็นแปลงต้นแบบให้เกษตรกรข้างเคียงได้มาศึกษาเรียนรู้และเกิดการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวอีกว่า แม้จะประสบสภาวะแห้งแล้งยาวนานในช่วงฤดูปลูก จึงคาดการณ์ได้ว่า ผลผลิตมันสำปะหลังที่เก็บเกี่ยวเมื่ออายุครบ 12 เดือน จะสูงกว่าวิธีปฏิบัติเดิมของเกษตรกรที่ได้ผลผลิตเฉลี่ย 3 ตัน ต่อไร่ เพิ่มขึ้นมากกว่า ร้อยละ 20
นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรเครือข่าย บริษัท จิรัฐพัฒนาการเกษตรฯ ที่ผสมปุ๋ยใช้เอง สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ 230 บาท ต่อไร่ ขณะที่ผลผลิตจากแปลงเรียนรู้ในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ที่มีการให้น้ำและใช้เทคโนโลยีตามคำแนะนำ ซึ่งมีการเก็บเกี่ยวที่อายุ 9 เดือน ได้ผลผลิตสูงถึง 7.4 ตัน ต่อไร่ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มสูงขึ้น สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างความมั่นคงในอาชีพอีกด้วย
ระบบน้ำหยดในมันสำปะหลัง
การจัดการระบบน้ำหยดในมันสำปะหลัง เป็นหนึ่งในจุดสาธิตที่น่าสนใจในงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังฯ ที่จัดขึ้น ซึ่งเกษตรกรสามารถนำไปปรับใช้ได้
ด้วยในการปลูกพืชที่มีน้ำเพียงพอ มีธาตุอาหารสมบูรณ์ ประกอบกับได้รับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พืชจะสามารถสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหารในการเจริญเติบโต เก็บสะสมอาหารที่เป็นผลผลิตได้อย่างเต็มที่ การปลูกพืชจึงต้องให้น้ำอย่างเพียงพอและเหมาะสมตามระยะเวลาที่พืชต้องการ จึงจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดี ระบบการให้น้ำที่เหมาะสมสำหรับการปลูกมันสำปะหลังมากที่สุด คือ ระบบน้ำหยด
เพราะเป็นระบบที่ใช้น้ำน้อยมีประสิทธิภาพการให้น้ำสูง ป้องกันการเกิดของวัชพืช อนุรักษ์ดินและน้ำได้ดีที่สุด อีกทั้งยังเป็นระบบที่สามารถให้ปุ๋ยไปทางระบบน้ำได้ ถึงแม้การลงทุนครั้งแรกจะสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในสภาวะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
การปลูกมันสำปะหลังโดยใช้น้ำหยดสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ประมาณเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงที่ดินมีความชื้นน้อยทำให้ปริมาณวัชพืชในช่วงนี้น้อยด้วย อีกทั้งมันสำปะหลังมีความต้องการน้ำในปริมาณที่ไม่มากในช่วง 1-3 เดือนแรก และต้องการน้ำมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ดังนั้น การให้น้ำช่วงนี้จึงไม่ต้องใช้น้ำมากนัก และในช่วงมันสำปะหลัง อายุ 4 เดือน ขึ้นไป เป็นช่วงที่ต้องการน้ำในปริมาณที่มาก ก็จะได้รับน้ำตรงกับช่วงฤดูฝนอย่างเต็มที่ จึงเป็นการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง
กรมวิชาการเกษตร มีข้อแนะนำว่า การปลูกมันสำปะหลังโดยใช้น้ำหยดต้องใช้ระยะปลูกห่างเพื่อให้ทรงพุ่มมันสำปะหลังได้รับแสงแดดในการสังเคราะห์แสงอย่างเต็มที่ ระยะที่เหมาะสมคือ ระยะแถว 1.2-1.5 เมตร ระยะต้น 0.8-1.2 เมตร
อีกทั้งการติดตั้งระบบน้ำหยด การติดตั้งระบบน้ำหยดควรออกแบบให้เหมาะสมกับพื้นที่ และควรคำนวณการใช้วัสดุอุปกรณ์ให้ประหยัดและคุ้มค่าที่สุด ซึ่งการติดตั้งที่มีการออกแบบไม่ดี จะทำให้สิ้นเปลืองอุปกรณ์โดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
เตรียมดิน เตรียมท่อนพันธุ์
อีกเทคนิคช่วยเพิ่มผลผลิต
การปลูกมันสำปะหลังเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพ นอกจากมีเทคโนโลยีการให้น้ำที่เหมาะสมแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น การเตรียมดิน ระยะปลูก การใส่ปุ๋ยเพียงพอ และการจัดการศัตรูพืช เพื่อให้คุ้มค่าต่อการลงทุนต้องเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องของการเตรียมดินให้เหมาะสม และการเตรียมท่อนพันธุ์และระยะปลูกที่เหมาะสม
ในส่วนของการเตรียมดินให้เหมาะสม ทางกรมวิชาการเกษตรมีข้อแนะนำว่า ควรไถดินให้ลึกโดยการใช้ผาล 3 หรือไถระเบิดดินดานในพื้นที่ที่มีชั้นดาน เพื่อให้รากมันสำปะหลังเจริญและหาอาหารได้ดี และยังป้องกันน้ำขังเนื่องจากชั้นดานที่ทำให้ดินมีการระบายน้ำไม่ดี เป็นสาเหตุให้เกิดการเน่าของหัวมันสำปะหลังได้
หลังจากนั้น ไถพรวนด้วยผาล 7 เพื่อย่อยให้ดินมีขนาดเล็กลงและร่วนซุยเหมาะแก่การปลูกพืช รวมถึงการยกร่องปลูกมันสำปะหลังเพื่อช่วยระบายน้ำในช่วงฤดูฝน ป้องกันการเน่าเสียของหัวมันสำปะหลัง
สำหรับการเตรียมท่อนพันธุ์และระยะปลูกที่เหมาะสม กรมวิชาการเกษตร แนะนำว่า ควรเลือกท่อนพันธุ์ที่สะอาดปราศจากโรคและแมลงทำลายจากต้นมันสำปะหลัง อายุ 8-12 เดือน ตัดเก็บไว้ไม่เกิน 15 วัน ควรทำแปลงขยายท่อนพันธุ์แยกต่างหาก ตัดท่อนพันธุ์ยาวให้ตรงหรือเฉียงเล็กน้อย เพื่อให้สะดวกในการปัก โดยตัดให้ยาว ประมาณ 25-30 เซนติเมตร
เลือกมันสำปะหลังพันธุ์ไหนดี
สำหรับการเลือกสายพันธุ์มันสำปะหลังที่มาปลูกเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ คุณสุพัตรา ชาวกงจักร์ และ คุณนิมิตร วงศ์สุวรรณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 กรมวิชาการเกษตร ได้ให้ข้อแนะนำว่า มันสำปะหลัง แบ่งออก 2 ชนิด คือ ชนิดขม เป็นมันสำปะหลังที่มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิกสูง ใช้ในการแปรรูปอุตสาหกรรม ส่วนอีกชนิดคือ ชนิดหวาน เป็นมันสำปะหลังที่มีปริมาณของกรดไฮโดรไซยานิกต่ำ สามารถนำไปรับประทานได้
ปัจจุบัน มันสำปะหลังที่เกษตรกรปลูกจะเป็นชนิดขม ที่ใช้ในการแปรรูปอุตสาหกรรม
สำหรับแหล่งที่ปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลังในประเทศและได้รับการรับรองพันธุ์มันสำปะหลังจากกรมวิชาการเกษตร ได้แก่
หนึ่ง กรมวิชาการเกษตร พันธุ์ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ระยอง 1 ระยอง 3 ระยอง 60 ระยอง 5 ระยอง 7 ระยอง 9 ระยอง 72 ระยอง 11 และ ระยอง 13
สอง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย พันธุ์ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ เกษตรศาสตร์ 50 ห้วยบง 60 และ ห้วยบง 80
สาม สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล พันธุ์ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ พันธุ์พิรุณ 1 และ พิรุณ 2
ด้วยมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม ดังนั้น การเลือกพันธุ์มันสำปะหลังให้เหมาะสมกับพื้นที่ มีส่วนช่วยในการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง ประมาณ ร้อยละ 15
โดยหนึ่งในข้อแนะนำคือ ให้เลือกพันธุ์มันสำปะหลังที่เหมาะสมต่อดินแต่ละชนิด โดย
– ดินทรายปนร่วน : พันธุ์เกษตร 50, ห้วยบง 60
– ดินร่วนปนทราย : ระยอง 7, ระยอง 9, ระยอง 90, เกษตรศาสตร์ 50, ห้วยบง 60
– ดินร่วนปนเหนียว : ระยอง 5, ระยอง 7, ระยอง 72, ห้วยบง 60
– ดินเหนียวสีน้ำตาลหรือแดง : ระยอง 5, ระยอง 72
– ดินเหนียวสีดำ : ระยอง 5, ระยอง 72
งานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ภายใต้โครงการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังจากผลการวิจัยสู่เกษตรกรจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างรายได้เพิ่ม” นับเป็นอีกก้าวของการพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ โทร. (043) 891-338