ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05075010459&srcday=2016-04-01&search=no
| วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620 |
รายงานพิเศษ มหัศจรรย์แห่งบัวปลูกก็สวย ขายก็รวย
ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ
ภูรินทร์ อัครกุลธร กับมุมมอง “บัวประดับของไทยก้าวไกล ไม่แพ้ชาติใด”
วันนี้หากมองในแง่ของบัวประดับแล้วต้องยกให้ประเทศไทย เพราะเรามีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม บัวสามารถออกได้ทั้งปี อีกทั้งยังมีสายพันธุ์บัวที่เกิดจากทั้งการปรับปรุงพันธุ์และการผสมกันตามธรรมชาติ และมีความสวยงามจนได้รับรางวัลจากการประกวดบัวระดับโลกมาแล้วมากมาย เรียกว่า บัวประดับของไทยนั้นไม่แพ้ชาติใดในโลก”
ผศ. ภูรินทร์ อัครกุลธร อาจารย์ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์บัว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ให้มุมมองถึงสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปในอนาคตของบัว ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชินีของไม้น้ำ
ถ้าในกลุ่มของบัวหลวง ต้องบอกว่า ประเทศจีนเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ประเทศไทยเองมีการนำเข้า ไหลบัว รากหรือเหง้าบัว จากจีนเข้ามาเป็นจำนวนมาก
แต่หากมองถึงความสามารถในเชิงการแข่งขันแล้ว ใช่ว่าประเทศไทยจะพัฒนาสายพันธุ์บัวหลวงให้แข่งกับประเทศจีนไม่ได้
“แต่หลายสิ่งเราสามารถพัฒนาสายพันธุ์ได้ อย่างรากบัวที่นำเข้ามาจากจีนจะเห็นว่า จะมีขนาดใหญ่แต่สั้น ในขณะที่รากบัวของประเทศไทยจะเล็กแต่ยาว เมื่อเป็นอย่างนี้เราเอาข้อดีมารวมกัน สร้างเป็นพันธุ์ใหม่ขึ้นที่ให้รากบัวทั้งใหญ่และยาว แบบนี้รับรองว่า สามารถสู้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งนักวิจัยต้องช่วยกันทำให้เกิดขึ้น”
ในขณะที่ประเทศกัมพูชา อาจารย์ภูรินทร์ บอกว่า ขณะนี้มีนักธุรกิจจากประเทศฝรั่งเศสเข้ามาตั้งบริษัทส่งเสริมและรับซื้อเส้นใยจากบัว เพื่อนำไปทอเป็นเส้นด้ายและนำไปสู่การใช้เป็นเครื่องเสื้อผ้า เพราะฝรั่งเศสเป็นเมืองแฟชั่น และต้องการเส้นใยจากธรรมชาติเป็นจำนวนมาก
“แบบนี้ประเทศไทยต้องมาดูแล้วว่า จะพัฒนาบัวพันธุ์ดีที่มีต้นใหญ่ก้านยาว และต้องเก็บก้านช่วงไหนถึงให้เส้นใยได้เยอะ”
“ดังนั้น ในด้านการพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์จากบัวเพื่อเพิ่มมูลค่ายังมีเรื่องที่ต้องศึกษาวิจัยอีกมาก ดังนั้น เราในฐานะนักวิจัย นักปรับปรุงพันธุ์คงต้องมาช่วยกันมองและทำให้เป็นข้อมูลที่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไรให้มีข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนและครบทุกด้าน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และเกิดมูลค่ากลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับคนไทยทั้งประเทศ”
ยิ่งในภาวะภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกร อาจารย์ภูรินทร์ได้ให้มุมมองว่า บัวนั้นสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกของเกษตรกร
“อย่างตอนนี้ รัฐบาลได้มีนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าว บัวเป็นพืชตัวหนึ่งที่เป็นทางเลือก เพราะเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยกว่าข้าวมากเลย บัวไม่มีน้ำก็ขึ้นได้ ขอเพียงให้มีความชื้น และปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บดอกได้ตลอด แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือ ทำอย่างไรที่จะเพิ่มมูลค่าผลผลิตบัวที่เพิ่มมากขึ้น อย่างใบบัวแทนที่จะขายเป็นใบ แต่ควรแปรรูปเป็นชาใบบัวเพิ่มมูลค่า เป็นต้น”
สาเหตุเพราะปริมาณความต้องการใช้บัวหลวงรวมถึงบัวประดับนั้น ไม่ได้มีเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ในต่างประเทศก็มีความต้องการสูงมาก
“ที่ผ่านมา บัวที่ปลูกในประเทศไทยสามารถส่งออกไปหลายประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี สวิตเซอร์แลนด์ และจีน ทั้งในรูปของหัวพันธุ์ หน่อ ต้นบัวประดับ รวมไปส่วนต่างๆ ของบัว ไม่ว่า ดีบัว เกสร หรือแม้กระทั่งใบบัว”
ตัวเลขจากการคาดการณ์น่าจะอยู่ในหลักร้อยล้านบาท
โดยอาจารย์ภูมรินทร์ บอกว่า จากการพัฒนาสายพันธุ์บัวในวันนี้ ได้ทำให้มีสายพันธุ์บัวประดับใหม่ๆ ที่มีคุณสมบัติในเรื่องการให้ดอก ความหอม และความสวยงามของดอกที่น่าสนใจ
“อย่างแค่เรื่องของสีของดอกบัวในวันนี้ บัวประดับนั้นมีสีครบทั้ง 7 สีตามวัน สามารถเลือกได้เลยว่า วันไหนสีเป็นมงคลหรือเป็นวันเกิด เช่น วันอังคารสีชมพู วันพุธสีเขียว หรือวันเสาร์สีม่วง เราก็มีบัวที่ให้สีตรงตามวันครบ”
อีกจุดหนึ่งที่เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ และน่าจะเป็นอนาคตใหม่สำหรับผู้มองหาอาชีพ นั้นคือ การปลูกบัวประดับในกลุ่มบัวผันเพื่อตัดดอกจำหน่าย ทดแทนบัวหลวง ได้เป็นอย่างดี
“เดิมนั้นเรารู้จักแต่บัวหลวงที่ใช้บูชาพระ แต่วันนี้ได้มีการพัฒนาพันธุ์จนได้บัวประดับที่มีคุณสมบัติตัดดอกได้แล้ว ซึ่งสามารถใช้ทดแทนบัวหลวงได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่บัวหลวงตามธรรมชาติจะออกดอกน้อย”
สำหรับบัวประดับที่อาจารย์ภูรินทร์บอกว่ามีคุณสมบัติเด่น 3 สายพันธุ์ที่เหมาะกับการปลูกเพื่อตัดดอกจำหน่าย คือ
หนึ่ง ขาวมงคล ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย บัวชนิดนี้ เมื่อยังเป็นดอกตูมจะมีทรงดอกโคนกว้าง ปลายเรียว กลีบเลี้ยงสีเขียว มีขีดสีนํ้าตาล และเมื่อเป็นดอกบาน จะมีรูปทรงถ้วย เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-12 เซนติเมตร กลีบดอกซ้อน กลีบเลี้ยงด้านนอกสีเขียว ด้านในสีเดียวกับกลีบดอก กลีบโคนกว้าง ปลายเรียวยาว กลีบดอกสีขาว ด้านหลังมีขีดสีม่วงยาวๆ เกสรเพศเมียสีเหลือง ก้านเกสรเพศผู้สีเหลือง อับเรณูสีขาว มีกลิ่นหอมฉุน ดอกดก ทยอยออกตามกัน ดอกบาน 3 วัน บานช่วงเช้าถึงช่วงเย็น
สอง แดงมะเหมี่ยว มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยเช่นกัน ลักษณะช่วงดอกตูม จะมีทรงดอกโคนกว้าง ปลายเรียว กลีบเลี้ยงสีนํ้าตาลอมดำ ส่วนดอกบาน ดอกบานรูปทรงถ้วย เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-10 เซนติเมตร กลีบดอกซ้อน กลีบเลี้ยงด้านนอกสีนํ้าตาลอมดำ ด้านในสีเดียวกับกลีบดอก กลีบดอกโคนกว้าง ปลายเรียว กลีบดอกเรียวยาว กลีบดอกสีแดงชมพู เกสรเพศเมียสีเหลือง ก้านเกสรเพศผู้สีเหลือง อับเรณูสีชมพู ดอกดก ทยอยออกตามกัน ดอกบาน 3 วัน บานช่วงเช้าถึงช่วงเย็น
สาม ฉลองขวัญ มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลักษณะของดอกตูม ทรงดอกโคนกว้าง ปลายเรียว กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน ส่วนดอกบาน ดอกจะบานแผ่ครึ่งวงกลมถึงค่อนวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 10-12 เซนติเมตร กลีบดอกซ้อนมากพิเศษ กลีบเลี้ยงโคนกว้าง ปลายเรียว กลีบดอกเรียวยาว สีม่วงนํ้าเงิน เกสรเพศเมียสีเหลือง ไม่มีเกสรเพศผู้ ดอกดก ทยอยออกตามกัน ดอกบาน 3 วัน บานช่วงเช้าถึงช่วงเย็น
“ตอนนี้เรามีตัวเลขวิจัยออกมาแล้วว่า ปลูก 1 ไร่ ใช้กี่กอ กอหนึ่งให้กี่ดอก อย่างบัวฉลองขวัญจะให้ผลผลิตต่อกอประมาณ 14 ดอก ไร่หนึ่งจะปลูกได้ประมาณ 400 กอ หากคูณออกมาแล้วจะรู้เลยว่าสามารถสร้างรายได้ให้อย่างน่าสนใจ เดือนหนึ่งเกษตรกรจะมีรายได้หลักหมื่นบาทต่อไร่เลยทีเดียว ตลาดรองรับนั้นสามารถใช้ได้ทั้งการนำไปบูชาพระแทนบัวหลวง และการนำไปจัดกระเช้าหรือช่อดอกไม้ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องสร้างการยอมรับของผู้บริโภคเท่านั้นเอง หากสามารถสร้างกระแสการยอมรับได้รับรองว่าจะเป็นทางเลือกของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี” อาจารย์ภูรินทร์ กล่าวในที่สุด
…เสน่ห์แห่งใบบัว
อีกหนึ่งความสวยงามของบัว ที่อาจารย์ภูมินทร์ชักชวนให้ร่วมชม นั่นคือ รูปทรงของใบบัว
อาจารย์ภูรินทร์ บอกว่า หากพิจารณาจะพบถึงความงดงามและโดดเด่นที่ไม่แพ้กับความสวยงามของดอกบัวเลย ด้วยใบบัวแต่ละสายพันธุ์นั้น จะแตกต่างและโดดเด่นกันอย่างเห็นได้ชัด บางสายพันธุ์มีขอบใบหยัก ในขณะที่บางสายพันธุ์ขอบใบเรียบ สีสันของใบที่มีตั้งแต่สีเขียวพื้น ไปจนถึงสีใบที่แซมด้วยจุด ด้วยขีด เล็ก ขีดใหญ่
“ด้านหลังใบน่าสนใจเช่นกัน อย่างบัวถาดของประเทศจีน ด้านหลังใบจะมีสีม่วงให้ความสวยงามไปอีกแบบ” อาจารย์ภูรินทร์ กล่าว