โรงเรียนบ้านเกาะพยาม ระนอง ทำเกษตรบนเกาะอย่างง่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05090010459&srcday=2016-04-01&search=no

วันที่ 01 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 620

เยาวชนเกษตร

สุจิต เมืองสุข

โรงเรียนบ้านเกาะพยาม ระนอง ทำเกษตรบนเกาะอย่างง่าย

แค่คิดจะทำการเกษตรในจังหวัดระนอง พื้นที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งฝน 8 แดด 4 ก็ไม่ใช่จะลงมือทำกันง่ายๆ แม้เกษตรกรชาวจังหวัดระนองเอง ยังต้องเข้าใจสภาพอากาศและสภาพภูมิประเทศในพื้นที่ ปรับการทำการเกษตรให้สอดคล้อง การเกษตรจึงเดินหน้าไปได้ด้วยดี

คอลัมน์ เยาวชนเกษตร ซึ่งโฟกัสไปที่การทำการเกษตรของเยาวชน เมื่อต้องลงพื้นที่จังหวัดระนอง โดยสารเรือข้ามไปยังเกาะพยาม อันเป็นเกาะหนึ่งที่อยู่ห่างจากตัวฝั่ง ประมาณ 30 กิโลเมตร ทำให้คิดไปว่า เด็กนักเรียนของโรงเรียนบ้านเกาะพยาม ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวของตำบลเกาะพยาม ครอบคลุมประชากรทั้งตำบล รวมพื้นที่เกาะ 2 แห่ง คือ เกาะพยาม และ เกาะช้าง จะทำการเกษตรบนเกาะได้อย่างไร

โรงเรียนบ้านเกาะพยาม ตั้งอยู่บนเกาะพยาม ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เปิดสอนระดับชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 91 คน ครูและบุคลากรทางการศึกษา รวม 6 คน ด้วยพื้นที่ตั้งของโรงเรียนเป็นเกาะ ทำให้ไม่ได้อยู่ในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งการศึกษาของนักเรียนโรงเรียนบ้านเกาะพยาม เป็นการเรียนการสอนผ่านทางไกล มีโทรทัศน์และระบบไฟฟ้าเป็นพื้นฐาน หากไม่มีระบบไฟฟ้า การเรียนการสอนจะดำเนินไปไม่ได้

ที่ผ่านมา สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) โดย ดร. ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน ได้เห็นความสำคัญของพลังงานทดแทนทุกระดับ ทำให้เล็งเห็นความสำคัญของการใช้พลังงานบนเกาะพยาม ทางกองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จึงเข้าไปส่งเสริมพลังงานทดแทนในพื้นที่เกาะพยาม โดยการสำรวจพบว่า ตัวเกาะพยามได้รับอิทธิพลลมทะเลฝั่งอันดามันพัดผ่านตลอดปี จากการวัดแรงลมในพื้นที่ พ.ศ. 2527 พบว่า มีค่าความเร็วลม ประมาณ 2.7 เมตร ต่อนาที และข้อมูลของ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ระบุความเร็วลมเฉลี่ยบนเกาะพยามในปี พ.ศ. 2533 ที่ประมาณ 3.0 เมตร ต่อวินาที จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะในการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานจากลม เพื่อให้มีไฟฟ้าใช้ในโรงเรียน

กองทุนฯ จึงเข้าดำเนินโครงการเทคโนโลยีกังหันลมผลิตไฟฟ้า ภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนในระดับชุมชน ให้กับโรงเรียนบ้านเกาะพยาม โดยสนับสนุนงบประมาณในการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า ขนาด 1 กิโลวัตต์ จำนวน 5 ชุด รวมกำลังผลิต 5,000 w ชนิดไม่เชื่อมสายส่ง (stand alone) โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จะถูกเก็บในแบตเตอรี่ ขนาด 130 แอมป์-ชั่วโมง จำนวน 8 ลูก เชื่อมต่อระบบอินเวอร์เตอร์ เพื่อแปลงไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ สำหรับนำมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า และระบบแสงสว่างของอาคารเรียนและห้องพักครูของโรงเรียนบ้านเกาะพยาม ระบบดังกล่าว สามารถผลิตไฟฟ้าได้ไม่น้อยกว่า 3,300 หน่วย ต่อปี ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 12,000 บาท ต่อปี จากงบประมาณการลงทุน 960,000 บาท ระยะเวลาในการคืนทุน 20 ปี

เมื่อนำไฟฟ้าที่ได้จากกังหันลม เชื่อมต่อกับระบบไฟกับพลังงานทดแทนจากเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2545 โดยติดตั้ง 2 จุด กำลังการผลิต 2,100 w และ 3,000 w ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของโรงเรียน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องปั่นไฟฟ้าจากเครื่องยนต์

เนื่องจากระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนบ้านเกาะพยามเป็นระบบเรียนทางไกล การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ จึงจำเป็นสำหรับสื่อการเรียนการสอนมาก เพราะหากไม่มีไฟฟ้าแล้ว อุปกรณ์รับสัญญาณเชื่อมต่อการเรียนการสอนทางไกลจะไม่สามารถทำงานได้ เท่ากับว่านักเรียนไม่สามารถเรียนได้ การติดตั้งพลังงานทดแทนจากเซลล์แสงอาทิตย์และพลังงานลม จึงมีความจำเป็นยิ่ง

ครูสากล เยี่ยมไธสง ครูโรงเรียนบ้านเกาะพยาม บอกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่สำคัญที่โรงเรียนจำเป็นต้องใช้ คือ โทรทัศน์ พัดลม หลอดไฟ โดยเปิดใช้เฉลี่ย วันละ 5 ชั่วโมง เวลาเรียนที่เหลือเป็นการเรียนการสอนนอกห้องเรียน และการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน เพื่อประหยัดพลังงาน แม้ว่าโรงเรียนจะตั้งอยู่บนเกาะ มีสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงสภาพดินที่ไม่เหมาะต่อการปลูกพืช แต่การส่งเสริมให้เด็กนักเรียนมีความรู้ในการทำเกษตร ก็ไม่ใช่สิ่งที่ครูจะละทิ้ง

“โรงเรียนมีพื้นที่ 20 ไร่ พื้นที่ที่จัดสรรเป็นแปลงเกษตรให้เด็กได้เรียนรู้ ประมาณ 5 ไร่ เมื่อสภาพดินไม่ดี จึงทำให้ปลูกพืชได้ไม่หลากหลาย ที่ทำได้คือ ปลูกผักเหลียง 100 ต้น ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ 5 วง พืชผักสวนครัว 5 แปลง ไม้ผลไม่สามารถปลูกได้”

อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการทำการเกษตรบนเกาะ คือ น้ำ ครูสากล บอกว่า น้ำที่ใช้ทำการเกษตรได้มาจากน้ำฝนเพียงอย่างเดียว ดังนั้น เมื่อฝนตกจึงต้องมีที่เก็บน้ำไว้ใช้ให้ได้ตลอดปี ซึ่งปริมาณฝนจะมากระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคมของทุกปี

แม้ดินและน้ำจะเป็นปัญหาต่อการทำการเกษตร แต่ครูสากล ก็ไม่ละเลย พยายามสื่อการสอนให้ถึงนักเรียนให้มากที่สุด ที่เห็นชัดที่สุดคือการเลี้ยงปลาดุก ครูสากลพาเด็กนักเรียนขุดบ่อดิน ขนาด 5×3 เมตร ปูด้วยผ้าพลาสติกกักน้ำไว้ แล้วเลี้ยงปลาดุก 150 ตัว ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 3 เดือน ก็จับขายให้กับโครงการอาหารกลางวัน นอกจากนี้ ยังทำโรงเห็ดนางฟ้า โรงปุ๋ยหมัก และปลูกชะอม ซึ่งเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีพอสมควรบนเกาะ และผลผลิตที่ได้จากการทำการเกษตรทั้งหมด เมื่อนำเข้าโครงการอาหารกลางวันแล้ว ช่วยลดต้นทุนการซื้อวัตถุดิบจากภายนอกมาทำอาหารกลางวันให้กับนักเรียนได้มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์

“โรงเรียนตั้งชุมนุมเกษตร ให้เด็กมาสมัครเข้าร่วม เด็กชอบ ชุมนุมเกษตรตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงภายในโรงเรียน มีเด็กนักเรียนมาสมัครเกือบทั้งหมด แต่เด็กที่ได้ลงมือทำจริงๆ จะเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 เพราะเป็นเด็กโต ที่รับผิดชอบตัวเองได้”

เด็กชายต่อ เกาะพยาม อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 บอกว่า ชอบการเกษตร เพราะทำให้รู้จักความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งตนเองใช้เวลาในช่วงพักเที่ยงของทุกวัน ไปดูแลแปลงผักสวนครัว เมื่อถึงคราวต้องให้ปุ๋ย ก็นำขี้วัวที่ซื้อมาและปุ๋ยหมักที่ทำไว้มาใส่ให้กับแปลงผัก เมื่อเก็บผลผลิตได้ก็นำไปขายให้กับโครงการอาหารกลางวันของโรงเรียนในราคาถูก นอกจากนี้ ยังต้องดูแลปลาดุกในบ่อ เมื่อมีเวลาจากที่บ้านก็ช่วยพ่อแม่ปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง

ด้าน เด็กชายกฤษณะ พึ่งจะแย้ม อายุ 11 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เล่าว่า กิจกรรมเกษตรที่มี ชอบการเลี้ยงปลาดุกมากที่สุด เพราะสนุกเมื่อได้จับปลา และได้ความรู้ในขั้นตอนของการเลี้ยงปลา ส่วนแปลงผักสวนครัวก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบรดน้ำทุกวันในตอนเช้าและเย็น ส่วนกลางวันต้องมาดูแลแปลงโดยการถอนวัชพืชและใส่ปุ๋ยหมัก สำหรับปุ๋ยหมักที่ตนได้รับความรู้จากโรงเรียน ก็เป็นการทำปุ๋ยหมักอย่างง่าย นำเศษปลาเหลือที่ได้จากการประมงในทะเล นำมาใส่ถังหมักรวมกับน้ำตาลและจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง หมักทิ้งไว้ ก็สามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักและสารอินทรีย์ใช้รดน้ำต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดี

ครูสากล กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ว่าโรงเรียนบ้านเกาะพยามจะอยู่ห่างไกลความเจริญบนชายฝั่ง แต่โชคดีที่มีระบบไฟฟ้าใช้สำหรับการเรียนการสอน ส่วนความรู้ด้านการเกษตรจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กนักเรียนจะต้องมีความรู้ติดตัวไป เพราะเด็กนักเรียนที่เรียนจบประถมศึกษาปีที่ 6 ที่นี่ หากต้องศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาก็ต้องเข้าไปเรียนบนฝั่ง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางของเด็กชาวเกาะอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การทำการเกษตรภายในโรงเรียน เพื่อสอนให้กับเด็กนักเรียนมีพื้นฐานที่ดีก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่โรงเรียนบ้านเกาะพยามยังขาดพื้นฐานทางเกษตรที่สำคัญอีกหลายประการ จึงยินดี หากมีหน่วยงานต้องการส่งเสริมและสนับสนุนการทำการเกษตรของเด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านเกาะพยาม ซึ่งที่สอบถามเด็กนักเรียน ทราบว่า เด็กนักเรียนต้องการเรียนรู้การปลูกผักไร้ดิน และการเลี้ยงไก่ไข่

ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีข้อแนะนำในการส่งเสริม สนับสนุน การทำการเกษตรภายในโรงเรียนบ้านเกาะพยาม ติดต่อได้ที่ ครูสากล เยี่ยมไธสง โทรศัพท์ (088) 447-6144

Leave a comment