ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/news/politic/238302
การเมือง : 16 ส.ค. 2559
“นายกฯ”ขึ้นเวทีผู้นำบลูโอเชี่ยน ชูโลกยุคใหม่ต้องคิดนอกกรอบ
“นายกฯ” กล่าวถ้อยแถลงในเวทีผู้นำบลูโอเชี่ยน ขอบคุณรบ.มาเลย์เชิญเข้าร่วม ชูโลกยุคใหม่ต้องคิดนอกกรอบ โลดแล่นไปด้วยกัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ทะเลสีคราม
16 ส.ค. 59 — พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีภารกิจเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ว่าด้วยยุทธศาสตร์ทะเลสีคราม (International Conference on Blue Ocean Strategy) ครั้งที่ 1 ณ เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย
ในเวลา 12.30 น.นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการเสวนาระหว่างผู้นำ หัวข้อ“Transforming Nations through Creativity and Innovation” ที่จัดขึ้นในการประชุม International Conference on Blue Ocean Strategy ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติปุตราจายา
ทั้งนี้ พล.ต.วีรชนสุคนธปฏิภาครองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสำคัญถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีว่า ขอแสดงความชื่นชมรัฐบาลมาเลเซีย สำหรับความคิดริเริ่มจัดการประชุมดังกล่าว และกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่เชิญเข้าร่วมการเสวนาครั้งนี้ สำหรับการเสวนาระหว่างผู้นำในหัวข้อ การพัฒนาประเทศโดยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมตามแนวคิดของยุทธศาสตร์ทะเลสีคราม (Blue Ocean)จัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมในยุคที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลกค่อนข้างชะลอตัวการแข่งขันระหว่างกันแบบทะเลสีแดง (Red Ocean) จึงมีแนวโน้มสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเรากำลังอยู่ในโลกที่ความไม่แน่นอน (uncertainty) ความซับซ้อน (complexity) การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว (rapid pace of change) กลายเป็นความปกติในรูปแบบใหม่(New Normal) ขณะที่ประเทศต่างๆ เผชิญชะตากรรมร่วมกัน (Global Commons) มากขึ้นจากโลกที่เชื่อมต่อกัน (Connected World) ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาวะโลกร้อน ปัญหาหมอกควันข้ามชาติ ปัญหาก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ดังนั้นปัจจุบันคนในโลกเวลาสุขก็จะสุขด้วยกัน และเวลาทุกข์ก็จะทุกข์ด้วยกัน ภายใต้โลกที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน (Independent World)
โดยในยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้ ประเทศต่างๆจำต้องปรับกระบวนทัศน์สู่การ “คิดนอกกรอบ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่” ปรับจากการแข่งขันกันในอุตสาหกรรมที่เหมือนกัน ในตลาดเดียวกัน จากการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายใน“ทะเลสีแดง” สู่การโลดแล่นไปด้วยกันภายใต้ “ทะเลสีคราม”ด้วยการคิดค้นพัฒนานวัตกรรมที่ไม่ได้มุ่งเอาชนะในการแข่งขันหาก แต่มุ่งเน้นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดใหม่ๆ โดยการแปลง “คุณค่า”ออกมาเป็น “มูลค่า” ผ่านความคิดสร้างสรรค์การออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ๆ พัฒนารากเหง้าทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นถักทอออกมาเป็นนวัตกรรมที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพื่อนำตัวเองออกจากการแข่งขันแบบเดิมๆ
พล.ต.วีรชน กล่าวอีกว่า นายกฯ กล่าวว่าการเสวนาครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีให้ผู้นำร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในบริบทของแต่ละประเทศเกี่ยวกับโอกาส และความท้าทายด้านการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมภายในประเทศ เพื่อสอดรับกับความท้าทายใหม่ของโลกรวมถึงหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อให้ทะเลสีครามเป็นทะเลที่มีคลื่นสงบมีความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์เป็นทะเลแห่งความหวัง และโอกาส (Blue Ocean of Hope and Opportunities) ที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาของประเทศและให้ทุกประเทศสามารถเติบโตและเข้มแข็งเดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สำหรับประเทศไทยนั้นขณะนี้เผชิญกับความท้าทายหลายประการ อาทิ 1.การขาดแคลนแรงงานและการเข้าสู่สังคมวัยชรา 2.ประสิทธิภาพของแรงงานไทยที่พัฒนาช้ากว่าเทคโนโลยีการผลิตของโลกและขีดความสามารถในการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตในภาพรวม 3.ธุรกิจใหม่ของไทยยังขาดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 4.ตลาดคู่ค้าสำคัญเช่นสหรัฐฯยุโรปและจีนเผชิญสภาวะถดถอย 5.มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยสู่ฐานการผลิตที่มีค่าแรงต่ำกว่า 6.ความเหลื่อมล้ำทางสังคมสุขอนามัยของประชาชนภัยธรรมชาติและความเสื่อมโทรมของสภาพสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาที่ไม่สมดุลประเทศไทยจึงอยู่ระหว่างการปฏิรูปประเทศเพื่อวางรากฐานให้ประเทศมีความเข้มแข็งเพื่อรองรับกับความท้าทายข้างต้นโดยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนบนพื้นฐานของการเติบโตไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“รัฐบาลเล็งเห็นความจำเป็นในการปรับโมเดลเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนำประเทศออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง จาก โมเดลประเทศไทย1.0 ที่เน้นภาคการเกษตรไปสู่โมเดลประเทศไทย2.0 ที่เน้นอุตสาหกรรมเบาและ“โมเดลประเทศไทย3.0 ในปัจจุบันที่เน้นอุตสาหกรรมหนัก สู่“โมเดลประเทศไทย4.0. หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Value–Based Economy) รัฐบาลจึงได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ประเทศระยะ 20 ปี (2560-2579)และแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่12 (2560-2564) โดยตั้งเป้าพัฒนาประเทศสู่ประเทศไทย4.0 ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีคนเป็นศูนย์กลางเป็นแนวทางควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่า เพื่อผลิตกำลังคนสร้างพลังสังคมสานต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็งกระจายความมั่งคั่งและโอกาสอย่างถ้วนทั่วและเป็นธรรมยกระดับการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพเพื่อให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติด้วยหลัก ”4Ss“ อันประกอบด้วยการพิทักษ์รักษาโลก (Saved the Planet)การรักษาสันติภาพ(Secured Peace)การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน(Sustainable Growth) และการปันความเจริญรุ่งเรือง(Shared Prosperity)”
องค์ประกอบของประเทศไทย 4.0 มีสามประการได้แก่ 1.การยกระดับประเทศสู่ประเทศที่มีรายได้สูง(High Income Country) ด้วยการปรับโครงสร้างเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญารังสรรค์ผ่านการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมมากขึ้น 2.การมุ่งให้ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากความเจริญและการพัฒนาเปลี่ยนความมั่งคั่งและโอกาสที่กระจุกเป็นความมั่งคั่งและโอกาสที่กระจายเป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน(Inclusive Society) 3.การเติบโตอย่างยั่งยืนมุ่งให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ทำลายสุขภาพและสภาพแวดล้อม(Sustainable Growth & Development )รัฐบาลจึงได้ผนึกกำลังประชารัฐเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย4.0 พร้อมเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนโดยเฉพาะสถาบันการเงินในการสนับสนุนSMEs ทั้งด้านการวิจัยพัฒนาและการออกสู่ตลาดโลกรวมทั้งจัดให้มี“ที่ปรึกษาทางเทคโนโลยี” ให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาของโรงงานรวมทั้งสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยีให้ SMEs มีProductivity และสร้างนวัตกรรมต่อยอดมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนสู่Thailand 4.0
“รัฐบาลได้เน้นในสองเรื่องสำคัญคือ 1.การส่งเสริมการรังสรรค์นวัตกรรมรัฐบาลได้ดำเนินนโยบายเพิ่มระดับการวิจัยและพัฒนาไปสู่1เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโดยการลงทุนของรัฐเองควบคู่กับการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจให้เอกชนสร้างนวัตกรรมใน 4 กลุ่มคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเอกชนไทยรายใหญ่ บรรษัทข้ามชาติ และวิสาหกิจเริ่มต้น(สตาร์ทอัพ) 2.การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิตัล (Digital Economy) ด้วยการลงทุนใน Digital Infrastructure อาทิ การสร้างเครือข่ายบรอดแบรนด์ทั่วประเทศการจัดทำกฎหมาย Cyber Laws ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความปลอดภัยไปจนถึงธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์อีก ทั้งยังส่งเสริมการสร้างเมืองอัจฉริยะ (Smart Cities)อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างชุมชนเมืองและพื้นที่ห่างไกล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในเวที
ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้ออกนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ(First S-Curve) 5 สาขาได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพการเกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมอาหาร สำหรับอนาคตนอกจากนี้ ยังส่งเสริมอุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) 5 สาขาได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตัล และอุตสาหกรรมแพทย์ครบวงจร โดยมีมาตรการและสิทธิพิเศษทางภาษีดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล่านี้ ทั้งนี้ การต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม หรือFirst s-curve จะสามารถเพิ่มรายได้ของประชากรได้ประมาณร้อยละ70จากเป้าหมาย ส่วนอีกร้อยละ30 New S-curve จะมาจากอุตสาหกรรมใหม่ ที่สำคัญทั้งหมดจะเป็นการสร้าง “New Start-ups” ต่างๆอีกมากมาย
รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะสร้างเมืองนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรม First และ New S-Curve ดังกล่าว โดยเริ่มด้วยโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ที่จัดตั้งภายในอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย (SciencePark) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรที่ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (High Value added) โดยเน้นอาหารที่มีทั้งคุณค่าและมูลค่าสูงเช่นอาหารรองรับสังคมสูงวัยอาหารสำหรับผู้ป่วยและความต้องการเฉพาะด้าน(Functional Foods) และอาหารฮาลาล ทั้งนี้ จะเป็นเมืองที่มีบริษัทอาหารระดับโลก ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีนวัตกรรมห่วงโซ่เชื่อมโยงไปถึง SMEs และมีธุรกิจ start up ในสาขาอาหาร (Food-based Start Up) เข้ามาลงทุนพร้อมๆ กับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ“วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์” หรือที่เรียกว่า“Culture & Creative Economy” โดยการแปลงคุณค่าของความเป็นไทย หรือCultural DNAของคนไทยออกมาเป็นการสร้างมูลค่าผ่าน Creative Champions 5 F อันประกอบด้วยมวยไทย(Fighting) เทศกาลต่างๆ (Festivals) เช่นสงกรานต์ลอยกระทงอาหารไทย (Food) แฟชั่นไทย (Fashions)และภาพยนตร์เอนิเมชั่นและเกมส์ (Films, Animation & Games)
นอกจากนี้ ยังได้ริเริ่มโครงการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายบุคลากร (Talent Mobility)เพื่อรองรับความต้องการบุคลากรวิจัยของภาคเอกชนโดยรัฐอำนวยความสะดวกให้นักวิจัยของรัฐในมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัยสามารถทำงานกับภาคเอกชนได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างนวัตกรรมและเพื่อกลับมาสอนนักศึกษาด้วยความรู้ภาคปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเข้มข้นที่จะก่อให้เกิดผลการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอย่างเต็มศักยภาพ
“รัฐบาลได้ร่วมมือกับอาเซียนภายใต้ข้อริเริ่มกระบี่ (Krabi Initiative) ในวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม 8 สาขา คือความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) การบริหารจัดการน้ำ (Water Management) นวัตกรรมอาเซียน (ASEAN Innovation) ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) เศรษฐกิจดิจิตอลสื่อใหม่และเครือข่ายสังคม (Digital Economy, New Media and Social Networking) เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) และวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Science and Innovation for Life) นอกจากนี้ยังได้มีความร่วมมือกับสมาชิกอาเซียนอาทิร่วมมือกับกลุ่ม CLMV มาเลเซียรวมทั้งประเทศคู่เจรจาของอาเซียนอาทิจีนญี่ปุ่นเกาหลีใต้อินเดีย เพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอีกด้วย ตลอดจนมีความร่วมมือกับหุ้นส่วนเชิงสร้างสรรค์กับอีกหลายประเทศ” พล.ต.วีรชนกล่าว
นายกรัฐมนตรีเห็นว่าท่ามกลางสภาวะการแข่งขันประเทศต่างๆสามารถที่จะร่วมมือกันเพื่อให้ทะเลสีครามเป็นทะเลที่มีคลื่นสงบมีความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์เป็นทะเลแห่งความหวังและโอกาสผ่านความร่วมมือที่สร้างสรรค์ดังนี้
1.การแสวงหาจุดแข็งของแต่ละประเทศและสนับสนุนกันและกันด้านการวิจัยพัฒนาและเศรษฐกิจสร้างสรรค์เช่นประเทศในกลุ่มอาเซียนอาจร่วมกันศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของแต่ละประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาสินค้าและบริการภายใต้ ASEAN brand เพื่อรองรับตลาดด้านสุขภาพการท่องเที่ยวอาหารสิ่งแวดล้อมพลังงานสินค้าlifestyle ทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค
2.ไทยดำเนินโยบายThailand + 1และส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคีระหว่างประเทศที่มีรายได้สูงรายได้ปานกลางและรายได้น้อยเพื่อช่วยมิตรประเทศทั้งในและนอกภูมิภาคที่สนใจร่วมมือในการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนเช่นหากกลุ่มประเทศในแอฟริกาหรือกลุ่มประเทศหมู่เกาะในแปซิฟิกมีความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับไทยทั้งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน(SEP for SDGs)ความร่วมมือสาขานวัตกรรมเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์หรือสาขาอื่นที่มีความเข้มแข็งหรือสาขาที่สนใจไทย ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ
นายกรัฐมนตรีหวังว่า ทะเลสีครามแห่งนี้จะเป็นทะเลแห่งความหวังและโอกาส โดยประเทศไทยประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมและบทบาทอย่างแข็งขัน เพื่อสร้างทะเลแห่งอนาคตร่วมกัน และเชื่อว่าการประชุมในครั้งนี้จะทำให้ทุกประเทศสามารถเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

