16 ส.ค. 59 – นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พร้อมด้วยตัวแทนของสนช. อาทิ นายสมชาย แสวงการ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ พล.ต.ชัยยุทธ พร้อมสุข พล.ร.ท.วีระพันธุ์ สุขก้อน พล.อ.อำพน ชูประทุม และ พล.อ.ไตรรัตน์ รังคะรัตน สมาชิก สนช. เข้าเยี่ยมชมและรับฟังรายงานความคืบหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่พร้อมอาคารประกอบ พื้นที่เกียกกาย ทั้งนี้คณะของ สนช. ได้ใช้เวลารับฟังการบรรยายและรายงานความคืบหน้าจากผู้ที่เกี่ยวข้องของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, บริษัทที่ปรึกษาที่ปรึกษาบริหารโครงการ CAMA, กลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ATTA  เป็นเวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นทางคณะได้ลงพื้นที่ก่อสร้างเพื่อเยี่ยมชมการทำงาน

โดยนายพรเพชร ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าความคืบหน้าของการโครงการก่อสร้าง ล่าสุดอยู่ที่ 24 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งตนไม่พอใจในผลงานดังกล่าว จึงได้ขอให้ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ฐานะผู้ว่าจ้างเร่งดำเนินงานในส่วนที่เป็นพันธะสัญญา คือ การส่งมอบพื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งยังมีพื้นที่อีก 2 ส่วนที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้บริษัทผู้รับจ้าง คือ พื้นที่ของโรงเรียนโยธินบูรณะ ที่อยู่ระหว่างการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และพื้นที่ของชุมชนทอผ้ากลาโหม ที่ยังพบผู้อาศัยจำนวน 6 ครัวเรือนซึ่งเป็นผู้เข้าอาศัยใหม่ เบื้องต้นจากรายงานทางสำนักงานเลขาธิการสภาฯ จะดำเนินการแก้ปัญหาและส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างได้ ช่วงไม่เกินเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งตนได้แจ้งไปกับสำนักงเลขาธิการสภาฯ ว่าต้องเร่งดำเนินการ เพื่อไม่ให้ความล่าช้าของการส่งมอบพื้นที่เป็นข้ออ้างของบริษัทผู้รับจ้างในการที่จะใช้ขอต่อสัญญาก่อสร้างออกไป ส่วนการขยายสัญญาจ้างรอบที่ 2 นั้น เบื้องต้นทราบว่ามีการเสนอตัวเลขเวลาที่ขยายแล้ว คือประมาณ  600 กว่าวัน และอยู่ในขั้นตอนที่บริษัทที่ปรึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ต้องไปพิจารณาและตกลงเวลาได้เมื่อใดนั้น ตนไม่ทราบ แต่กระบวนการที่จะพิจารณานั้นต้องอยู่บนข้อสงวนที่ทางสำนักงานเลขาธิการสภาฯ และผู้รับจ้างได้ลงนามในเอกสารสัญญาว่าจะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายระหว่างกันในช่วงระยะของการก่อสร้าง

นายพรเพชร กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีปัญหาของการใช้ไม้สัก จำนวน 5,000 ต้นเพื่อใช้ในส่วนของงานสถาปัตยกรรมนั้น ทางรัฐบาลที่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบยังไม่มีการประสานหรือคำสั่งใดๆ มายังฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการดำเนินงานต่อจากนี้จะต้องเป็นไปตามสัญญาและเดินหน้าทำตามแบบก่อสร้าง อย่างไรก็ตามการจัดหาไม้สักเพื่อใช้ในการก่อสร้างนั้นเป็นภาระของบริษัทผู้รับจ้างที่ต้องดำเนินการ ขณะที่ข้อเสนอของบุคคลภายนอก อาทิ ให้ก่อสร้างพื้นที่จอดรถ ซึ่งไม่มีในแบบและสัญญาจ้างนั้น ตนยืนยันว่าไม่มีประเด็นพิจารณาและการก่อสร้างใดๆ ของโครงการต้องเป็นไปตามแบบ และหากงานใดไม่มีในแบบก่อสร้างจะทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามตนคาดหวังว่างานก่อสร้างรัฐสภาใหม่จะแล้วเสร็จในช่วงสมัยของสนช.

          ขณะที่นายโชติจุฑา อาจสอน กรรมการบริหารบริษัทที่ปรึกษา CAMA กล่าวว่า จากการพิจารณางานก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ พบว่าในส่วนของงานโครงสร้างมีความคืบหน้าไปทั้งสิ้น 70 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็น ส่วนปีกอาคาร ซึ่งเป็นอาคารทำงานของสภาผู้แทนราษฎร และ วุฒิสภา ที่มี 5 ชั้น ทำโครงสร้างแล้วเสร็จไป 2 ชั้น, โครงสร้างอาคารใหญ่ ที่มีจำนวน 11 ชั้น ทำโครงสร้างแล้วเสร็จไป 5 ชั้น รวมถึงพื้นที่ลิฟท์โดยสาร และ เสาของอาคารแล้ว  ทั้งนี้ในส่วนของโครงสร้างอีก 30 เปอร์เซ็นต์ นั้นตามแผนจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2560  ขณะเดียวกันระหว่างการการก่อสร้างโครงสร้างสามารถทำงานระบบและสถาปัตยกรรมไปพร้อมกันได้ ดังนั้นหากจะนับเวลาที่รัฐสภาแห่งใหม่จะแล้วเสร็จอาจต้องเวลาดำเนินการไปถึงปี 2562 ซึ่งประเด็นของการขยายสัญญาเพิ่มเติมนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยได้มีการพิจารณาขยายสัญญาไปถึงรอบที่ 3 แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่พร้อมอาคารประกอบ วงเงิน 1.2หมื่นล้านบาท ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ได้ว่าจ้างบริษัทซิโน-ไท เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ก่อสร้างนั้น ได้มีการขยายสัญญาจ้างมาแล้วจำนวน 1 ครั้ง เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2558  จำนวนเวลาที่ขยายคือ 278 วัน โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 15 ธ.ค. 2559 นี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ส.ค. มีความคืบหน้าการทำงานจำนวน 24.01 เปอร์เซ็นต์ และเหลือเวลาก่อสร้างตามสัญญาจ้างที่ปรับรอบแรก เพียง 125 วัน  ขณะที่การพิจารณาต่อสัญญารอบ 2 นั้น รายงานข่าวแจ้งว่า ทางบริษัทซิโน-ไทฯ ได้เสนอตัวเลขขอขยายเวลา 611 วัน แต่ทางบริษัทที่ปรึกษาที่ปรึกษาบริหารโครงการ CAMA, กลุ่มนิติบุคคลร่วมทำงาน ATTA พิจารณาแล้วเสนอตัวเลขที่เหมาะสม คือ 421 วัน ซึ่งทางกรรมการที่เกี่ยวข้องได้เสนอเวลาขยายสัญญาตามที่กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาเสนอ และเตรียมส่งเรื่องให้นางสายทิพย์ เชาวลิตถวิล เลขาธิการสภาฯ พิจารณาลงนามในสัปดาห์หน้า.