ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
http://www.komchadluek.net/news/politic/239002
การเมือง : 21 ส.ค. 2559
(สัมภาษณ์พิเศษ) อนาคต!! อภิสิทธิ์ – ปชป.- ประเทศไทย
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์เครือเนชั่น ถึงอนาคตการเมืองของตัวเอง ของพรรคประชาธิปัตย์ และประเทศไทย หลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ
มองการเมืองหลังการประชามติอย่างไร?
เรื่องนี้ประชาชนตัดสินใจด้วยตัวเอง เราต้องเคารพ และต้องทำความเข้าใจการตัดสินนั้น เท่าที่เรารับฟัง การโหวตรับร่างรัฐธรรมนุญ ประชาชนต้องการทำให้เกิดความมั่นใจว่า กระบวนการทั้งหลายจะเดินหน้าต่อไปได้ราบรื่น ซึ่งสะท้อนความกังวลใจว่าแม้จะรู้ว่ามีเลือกตั้ง แต่มองไม่ออกว่าหลังเลือกตั้งแล้ว บ้านเมืองจะเจอปัญหาเดิมหรือไม่ จึงพร้อมที่ให้มีกลไกบางอย่าง สร้างความมั่นใจว่าจะคุมสถานการณ์ได้ ซึ่งก็มีคนจำนวนหนึ่งที่พูดถึงเนื้อหาบ้าง แต่สมาชิกพรรคจำนวนมากที่ได้พูดกับผม ระบุว่าขอตัดสินใจโดยมองเรื่องสถานการณ์เฉพาะหน้าเป็นหลัก ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ผลการทำประชามติครั้งนี้คะแนนคำถามพ่วงมีสัดส่วนคะแนนเหมือนการทำประชามติปี 50 แต่จะมีบ้างที่คะแนนต่างไปจากเดิม อย่างพื้นที่ 3 ชายแดนใต้ การนำผลการทำประชามติ 2ครั้งมาเทียบกัน ก็อาจจะบอกอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งมีบทเรียนที่ผ่านมา ในปี 50 ผลของการเลือกตั้งใน 4 เดือนถัดมาก็มีคะแนนที่ออกมาไม่เหมือนกัน
ต้องยอมรับว่าการลงประชามติ แม้จะเป็นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังมีการมองเป็นลักษณะฝักฝ่ายทางการเมือง อย่างการเอาตัวคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวตั้งอยู่ไม่น้อย ทำให้ผลออกมาเป็นเช่นนี้
ยังเชื่อว่าคนที่โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ จะยังเลือกพรรคประชาธิปัตย์อยู่?
ผมตอบไม่ได้ว่าเขาจะเลือกใคร แต่การที่จะบอกว่าคนที่โหวตรับร่างรัฐธรรมนูญ หมายความว่าจะไม่เลือกทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ได้ ช่วงก่อนประชามติผมพบผู้คนมากมาย บ้างก็เข้ามาจับมือและบอกกับผมว่า รักเหมือนเดิมนะ จะเลือกเหมือนเดิม แต่คราวนี้ขอลงคะแนนต่าง ผมเจอคนที่โกรธก็มี กล่าวคือเราไปสรุปอะไรไม่ได้
ปลายปี 60 จะหมดวาระจากเป็นหัวหน้าพรรค ได้มองใครไว้หรือยัง?
ยัง ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าข้อบังคับใหม่จะเป็นเข่นไร แต่ตามข้อบังคับเดิมแล้วที่ประชุมใหญ่จะต้องเป็นผู้เลือก ถึงแม้จะเป็นช่วงที่ใกล้กับการเลือกตั้ง ทางสมาชิกก็ต้องมาคุยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในพรรคมีหลายคนที่มีศักยภาพเพียงพอ
ยังจะเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปไหม วางตัวเองไว้อย่างไร?
ยังเป็นได้อยู่ ผมเคยบอกไปว่า เข้ามาทำงานการเมืองเพราะอะไร ถ้ามีไฟและกำลังก็ทำต่อไป แต่ผมเข้ามาอยู่ในพรรคการเมืองที่ประกาศในวันแรกว่า มีพรรคนี้พรรคเดียว เพราะพรรคนี้มีความเป็นประชาธิปไตยในพรรค ดังนั้นเส้นทางผมจึงอยู่ที่ระบบประชาธิปไตยในพรรค และระบบประชาธิปไตยในประเทศจะเป็นผู้กำหนด ถ้าเขายังเลือกผมอยู่ ผมก็จะทำหน้าที่นี้
จากวันนี้ถึงวันเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?
เราต้องทำให้ประชาชนสามารถฝากความหวังไว้กับเราหลังการเลือกตั้ง ต้องดูว่าปัญหาที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขมีอะไรบ้าง เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ หนี้สินปากท้อง ยังคงเป็นเรื่องอันดับ 1 อีกทั้งประชาชนไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งแบบเดิมๆ อยากเห็นการเดินหน้าต่อสู้กับคอรัปชั่น อยากเห็นการปฏิรูปในด้านต่างๆ อีกทั้งเราต้องให้ความมั่นใจว่าจะดำเนินงานของเรา จะไม่พาประเทศย้อนไปสู่ความขัดแย้งแบบเดิมๆ
ส่วนปัญหาการจัดการภายในพรรค ขณะไม่มีใครพูดได้เลย เพราะไม่รู้ว่ากฎหมายลูกจะเขียนเช่นไร ทำได้เพียงคิดได้เสนอได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้มีอำนาจจะเป็นผู้ชี้ว่าพรรคการเมืองควรจะไปในทิศทางไหน ในใจเราอยากจะขยายการมีส่วนร่วมเชื่อมโยงกับสมาชิกได้มากขึ้น อย่างเรื่องนโยบาย การเลือกผู้บริหาร การส่งผู้สมัครเลือกตั้ง สมาชิกมีส่วนในการบำรุงพรรคทำให้การเงินโปร่งใส ให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีใครครอบงำพรรคได้ แต่ขณะนี้ทางพรรคเปิดประชุมไม่ได้ เราก็เพียงพยายามในสิ่งที่ทำได้ ส่วนตัวเดินสายพบกับทุกกลุ่มในสังคมหลายกลุ่มอาชีพ ดูปัญหาต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมเชิงนโยบาย ซึ่งหลายๆคนที่มีหน้าที่ก็ทำเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เราทำได้ขณะนี้
หมายความว่าไม่ได้สนใจที่มีการระบุว่า พรรคการเมืองจะไม่มีความสำคัญหลังการเลือกตั้ง เพราะรู้แล้วว่าใครจะเป็นนายกอยู่แล้ว?
ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่ผมจะบอกความเป็นจริงของการเมืองว่า พรรคการเมืองก็จะยังคงมีบทบาทหลังการเลือกตั้ง เพราะการตั้งรัฐบาล โดยไม่มีเสียงข้างมากสภาผุ้แทนราษฎร จะบริหารประเทศได้ไหม หากส.ว.ตั้งใครเป็นนายกฯก็ได้ หากรัฐบาลต้องเข้ามาสภาเพื่อขอให้ ส.ส. ผ่านกฎหมาย เจอญัตติ หรือกระทู้ถาม ถ้าไม่มีเสียงข้างมากใน ส.ส. จะทำงานได้เต็มที่ไหม ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ต่อให้โครงสร้างการเมืองเป็นเช่นนี้ ส.ส. ก็ยังมีความสำคัญ
ประการต่อมาพรรคการเมืองจะมีความสำคัญหรือไม่ในการเลือกตั้ง คำตอบจะต้องมาจากประชาชน ไม่ได้มาจากนักการเมืองหรือ คสช. เพราะถ้าประชาชนลงคะแนนให้พรรคใหญ่มีเสียงในสภา 200-300 เสียง จะบอกว่าไม่ฟังเลย หรือไม่มีความสำคัญก็ไม่ได้แล้ว ดังนั้นถ้าพรรคการเมืองที่อยากมีบทบาทก็ไม่ต้องพูดเรื่องกติกาแล้ว คุณต้องทำให้ประชาชนสนับสนุน ถ้าประชาชนอยากให้เป็นเช่นนั้นประชาชนก็ต้องเลือกคุณ ดังนั้นเรื่องของโครงสร้างจบไปแล้ว เรามีหน้าที่เดินไปบอกประชาชน ว่าเรามีอะไรจะนำเสนอ แล้วดูว่าเขาจะสนับสนุนเราไหม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้การเลือกตั้งไร้ความหมาย ส่วนจะมีมากน้อย อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจตอนเข้าคูหา แต่การที่ไปฝืนสิ่งที่ประชาชนเลือกถือเป็นเรื่องยาก การจะบอกว่าหลังการเลือกตั้งมี ส.ว. 250 คน แล้วจะไม่สนใจประชาชน เรื่องนี้จะไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียดในสังคมหรืออย่างไร
ในการเลือกนายกฯคนต่อไป จะเลือกใคร?
เวลานี้ไม่ใช่ที่จะชี้ชัดขนาดนั้น แต่ผมยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาล โดยที่ไม่มีเสียงข้างมาก ส.ส. สนับสนุน นี่คือหลักที่เราพูดได้ชัดเจน ส่วนเรื่องจะเลือกใคร วันนี้เป็นขั้นตอนที่ กรธ. ต้องไปตีความว่าคำถามพ่วงแปลว่าอะไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขาจะแก้อย่างไรบ้าง
ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. หนุนให้พล.อ.ประยุทธ์เป็น นายกฯ?
ผมไม่ขอพูดเรื่องบุคคล เพราะไม่รู้ว่าสุดท้ายกระบวนการจะเป็นอย่างไร แต่หลักการที่พูดได้ทันทีคือ ส.ส. โดยเสียงข้างมาก จะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ตอนนี้สิ่งที่คนพยายามวิเคราะห์กันพูดถึงแต่ตัวจะเอา ส.ว. 250 เป็นตัวตั้ง แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น เพราะรัฐบาลที่จะทำงานได้ต้องเป็นรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากใน ส.ส. ซึ่งนั้นคือการเคารพผลของการเลือกตั้ง ส่วนถ้าถามว่ารับได้ไหมในกรณีที่กลุ่ม ส.ส.เสียงข้างมากเลือกนายกฯคนนอก ผมว่าเรื่องนี้ยังไม่มีประเด็น เพราะผมยังไม่รู้ว่ากติกาขั้นตอนอย่างไร เพราะเมื่อมีกติกาก็ต้องมีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็จะไปขอการสนุบสนุนจากประชาชน ซึ่งเรื่องการเลือกนายกก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่จะตอบกับประชาชนในการเลือกตั้งด้วย ก็ต้องไปคิดไปต่อว่าเสียงข้างมากของ ส.ส. ควรจะเลือกแบบไหน
นายกฯจะต้องมาจากพรรคเสียงข้างมากใช่หรือไม่?
ใช่ครับ เพื่อให้รัฐบาลสามารถทำงานได้ ทำให้ไม่มีปัญหาในแง่ของการขัดเจตนารมณ์ของประชาชนที่ได้แสดงออกในการเลือกตั้ง (ดูคลิป)
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปัตย์ และกปปส.?
ก็ไม่มีอะไร ไม่มีใครลาออกจากสมาชิกพรรค ยกเว้นคนที่ไปบวช ที่ขาดสมาชิกภาพโดยกฎหมาย แล้วคนเหล่านี้ได้แสดงเจตจำนง ว่าจะกลับมาอยู่พรรค คนอื่นๆนอกจากคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) ที่ประกาศชัดแล้วว่าไม่เอาด้วยแล้ว ผมก็ยังถือว่ายังอยู่ในพรรค ผมได้พบนายธานี เทือกสุบรรณ เขาก็บอกกับผมว่าใบสมัครอยู่ที่พรรค แต่ตอนนี้พรรครับเพิ่มไม่ได้ สรุปคือทุกคนก็พร้อมที่จะทำงานร่วมกับพรรคอยู่
หมายความว่าจะไม่มี กปปส. ในพรรค?
คือคนในพรรคประชาธิปัตย์จะเป็น กปปส. ด้วยก็เป็นได้ แต่เป็นเพื่อไทยไม่ได้ (หัวเราะ) เรื่องนี้ไม่ได้มองว่าเป็นการเล่นบทสองด้าน คือว่าในฐานะองค์กร พรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของกปปส. สิ่งที่อาจจะต้องระวังมากขึ้น เมื่อพรรคเริ่มเคลื่อนไหว หรือเปิดประชุมได้ คนที่ยังเป็นสมาชิกพรรค และ กปปส. ก็ต้องสมารถบอกกับสาธารณะได้ว่า กำลังทำอะไรและสวมหมวกใบไหน และไม่ขัดกันอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่อของแต่ละบุคคลที่ไปแก้ปัญหาส่วนนั้น
ในช่วงเวลานี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของนักการเมือง ที่มีปัญหาหรือไม่?
ก็เป็นโอกาส แต่ถ้าเราวิเคราะห์ปัญหาไม่ถูก โอกาสก็จะหลุดลอยไป อย่างแรกต้องจับประเด็นปัญหาในเชิงพฤติกรรมให้ชัดเจนว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรบ้าง ทุกวันนี้คนเพ่งเล็งไปยังพรรคการเมืองใหญ่ คิดว่าถ้าทอนพรรคการเมืองใหญ่ให้เล็กลง การเมืองจะดีขึ้น ผมขอถามว่าที่ผ่านมาว่าพรรคเล็กๆที่ร่วมกับรัฐบาล มีปัญหาคอรัปชั่นน้อยกว่าพรรคการเมืองใหญ่จริงหรือไม่ ถ้าเราได้รัฐบาลที่มาจากพรรคใหญ่ ซึ่งมีการผูกสัญญากับประชาชนว่าต้องทำอะไร กับการที่เราได้รัฐบาลจากพรรคเล็กๆ หรือขนาดกลางเยอะ แล้วการตั้งรัฐบาลไม่ได้เกี่ยวกับประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับการต่อรอง สำหรับคนที่เล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ ไม่มีอะไรดีไปกว่าระบบที่ทำให้พรรคการเมืองเละ ทั้งนี้พรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรค ไม่ว่าจะชั่วอย่างไร ก็หนีการตรวจสอบยาก แต่พรรคที่เข้าไปเป็นหุ้นเล็ก แทบไม่เคยถูกตรวจสอบ
ถ้าฟังจากที่พูดโอกาสที่จะแก้ปัญหาเดิมก็น่าจะยาก เพราะเขาวางกลไกลดทอนพรรคใหญ่?
ก็เป็นวิธีทีเผู้มีอำนาจวางเอาไว้ เพื่อจะได้มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้การที่พึ่งพรรคอะไรก็ได้ที่ขอให้เป็นรัฐบาล คิดว่ารัฐบาลที่เกิดขึ้นจะต้องอยู่บนผลประโยชน์ หรืออุดมการณ์ และถ้าคิดว่ามีอีก ส.ว. 250 คนเข้ามา เรื่องนี้จะทำให้เกิดความตึงเครียดในสังคมไหม ถ้าคนคิดว่ามีสิทธิเลือกตั้งก็จริง แต่ไม่มีความหมาย มีเงื่อนไขอยู่กัน 5 ปี แล้วปีที่ 6 จะมีอะไรรองรับว่าแก้ปัญหาได้จริง หรือจะให้ย้อนไปเหมือนปี 26 ที่มีความพยายามต่ออายุกันอีก จนเกิดความขัดแย้ง
ผมถึงบอกว่าวันนี้ต้องให้คนที่วางระบบทำให้เรียบร้อยก่อน อะไรที่แก้ปัญหาทำให้สงบ หรือเข้มงวดการปราบโกง ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อะไรที่จะช่วยให้พรรคเป็นของประชาชน ผมก็หนุนอยู่แล้ว รวมถึงระบบเลือกตั้ง ถ้ามีคำอธิบายว่าสะท้อนทุกเสียง ผมก็ไม่มีปัญหา วันนี้มีการพูดเรื่องยอดภูเขาน้ำแข็งเรื่องการห้ามใส่ซองช่วยเหลือ ทำไมไม่พูดเรื่องระบบหลักเลย ซึ่งผมเคยเสนอว่า ถ้าเราเห็นว่าปัญหาการเมืองที่ผ่านมา มีเรื่องอิทธิพลของเงินมาแทรกซึม ก็ต้องไปจัดการส่วนนั้น ทำไมเราพูดได้ว่าเลือกตั้งกันมีเงินวิ่งเป็นหมื่นล้าน แต่พอแสดงบัญชี้แค่หลักพันล้าน
ทำไมเราไม่พูดกันว่า ค่าใช่จ่ายอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จะต้องมีบัญชีเฉพาะเช่นของผมก็อาจมีชื่อบัญชีว่า นายอภิสิทธิ์ เพื่องานการเมือง แล้วพูดถึงเรื่องที่มาของเงินว่ามีสัดส่วนอย่างไรหรือนำไปทำอะไรในงานการเมืองได้บ้าง ซึ่งเรื่องนี้สามรถบรรจุในกฎหมายลูกได้ แต่ยังไม่มีการพูดกัน โดยให้การใช้จ่ายทางการเมืองถ้าไม่ผ่านบัญชีนี้ให้ถือว่ามีความผิด ถ้าไม่มีเรื่องเหล่านี้ ปัญหาก็จะวนดั่งเดิม ซึ่งถือเป็นรูปธรรมที่สุดในการจัดการระบบเงินทางการเมือง ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองต้องกำหนดว่า เงินการเมืองต้องมาจากบัญชีนี้เท่านั้น อย่างนี้ถึงจะจัดระเบียบทางการเมืองได้จริง ถ้าเขียนเหมือนเดิมก็ได้เหมือนเดิม ที่จริง ส.ว. ก็ต้องมีกฎหมายทำนองนี้ด้วย
ปัญหาหนึ่งที่กลายเป็นวังวน ก็เป็นเพราะประชาชนชนเสื่อมศรัทธากับนักการเมือง มองว่าควรปรับอย่างไร?
ก็ต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทั้งหลาย ที่สร้างปัญหา และต้องพิสูจน์ตัวเองว่าตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องไปทบทวนตัวเอง อย่าลืมว่าระบบพรรคการเมือง ไม่ใช้ระบบที่คนกลุ่มหนึ่งสถาปนาตัวเองขึ้น มีที่มาที่ไป แต่ถ้าหากเราไปดูในรัฐธรรมนูญในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อังกฤษ เขาไม่มีแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ที่เขาปราบคอรัปชั่นได้เพราะสื่อเข้มแข็ง สังคมกัดไม่ปล่อย กระบวนการทางกฎหมาย สามารถทำงานได้ทันเวลา สุดท้ายแล้วนักการเมือง หรือพรรคการเมืองที่สร้างความเสียหาย ก็อยู่ไม่ได้ ไม่ต้องรอให้เกิดเกตุการณ์ประท้วงโดยประชาชน ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยทั่งโลก ไม่มีที่ไหนที่รับประกันเราจะได้คนดีเลย จริงๆแล้วมี 2 อย่าง คือถ้าไม่ดีแล้วก็อยู่ไม่ได้ หรือกลับเข้ามาไม่ได้ ซึ่งเราต้องทำเช่นนั้นให้ได้
กำลังหมายความว่าร่างรัฐธรรมนูญมุ่งแก้ไขปัญหาผิดจุดใช่หรือไม่?
เขามองการแก้ปัญหาอีกแบบหนึ่ง คือกลไกที่เขาวางไว้จะสกรีนคนไม่ดีได้ 100% หรือไม่ เราไม่อาจทราบได้ และอย่าลืมว่าจุดแข็งของประชาธิปไตยในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าระบบตรวจสอบถ่วงดุลได้จริง อำนาจจะไม่ทำให้คนเสื่อม ถ้าประชาธิปไตยใช้ได้จริง จะทำให้คนที่มีอำนาจถูกควบคุมตรวจสอบ ต้องมีความรับผิดชอบค่อสังคม แต่ระบบที่เราคิดว่าไปกรองและกันคนไม่ดี แต่ถ้ากลไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ คนที่ตอนแรกเข้ามาดี พออยู่ๆไปก็เปลี่ยน
จุดยืนเรื่องการสลายพรรค เซ็ตซีโร่?
ผมบอกว่าคนเสนอก็ต้องตอบให้ได้ ว่าดีอย่างไร แต่ในเมื่อมีความพยายามทำให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมือง แล้วจะไปทำให้เกิดโอกาสเกิดพรรคเฉพาะกิจมากขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจ พรรคที่ที่ยึดตัวบุคคล มีนายทุนก็คงไม่เดือดร้อนกับเรื่องนี้ แต่พรรคที่เป็นประชาธิปไตยถือว่ายุ่งยากมาก เพราะว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องไปหาสมาชิก ตั้งสาขาวางระบบให้คนมีส่วนร่วม ถ้าบอกว่าเซ็ตซีโร่ แล้วระบุให้สมาชิกมีบทบาทในการอนุมัติผู้สมัคร ก็จะเกิดการระดมคนเฉพาะกิจ ซึ่งจริงแล้วเราหวังว่าสมาชิกต้องมาตามธรรมชาติก่อน ให้มีซึมซับอุดมการณ์ของพรรค แล้วเขาก็จะมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของพรรค ซึ่งเรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ทำงานกันมา 10 ปี กว่าจะถึงจุดนี้ได้
คาดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้รัฐบาลผสมหรือไม่ อย่างไร?
เรื่องนี้ไม่มีอะไรแน่นอน มั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกิน 50% ซึ่งผมจะบอกว่าพอระบบการเลือกตั้งเปลี่ยน พฤติกรรมของผู้สมัคร พรรคการเมือง และผู้เลือกก็จะเปลี่ยน ไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเป็นอย่างไร กลยุทธ์การหาเสียงก็คงจะต้องเปลี่ยนไปตามด้วย ซึ่งประชาชนอาจมองได้ว่าการเลือกใบเดียวอาจหมายความว่าเลือกนายกฯเลยก็เป็นได้ ไม่มีใครตอบได้ คนที่ไปคาดคะเนเอาคะแนนเก่ามาคิดด้วยระบบใหม่ ถือว่าอันตรายมาก
เราจะเห็นการปรับตัวของพรรคการเมือง เริ่มจากการตัดสินใจส่งผู้สมัคร ที่เมื่อก่อนเอาคนสำคัญขึ้นแบบบัญชีรายชื่อ แล้วเอาหน้าใหม่ลงเขต อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ส่วนจะบอกว่าตัวบุคคลสำคัญกว่านโยบายหรือไม่นั้น ผมว่าต้องเริ่มจากการต่อสู้ในเชิงความคิดก่อนว่า เวลานั้นประชาชนจะให้ความสำคัญในเรื่องไหนมากที่สุด โดยเรื่องนี้ดูจากแนวโน้มในอดีตไม่ได้ หากต้องค้นหาจากสภาพปัจจุบันและอนาคต ส่วนตัวคิดว่าที่ผ่านมาสังคมไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้มาก เมื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง คนก็จะเริ่มคิดเรื่องนี้เอง โดยทางพรรคการเมืองต้องจับระแสว่าเขาคิดอะไร
มองรัฐบาลหลังเลือกตั้งเป็นอย่างไร?
ผมไม่ได้มองว่าใครจะเป็นนายกฯ แต่มองสภาพการทำงานของรัฐบาล ซึ่งจะมีอยู่ 3 ลักษณะขึ้นอยู่กับว่าจะวางบทบาท ส.ว. 250 คนไว้อย่างไร แบบแรก ถ้าให้ ส.ว. 250 คนเป็นหลัก ให้ ส.ส. เป็นรองคือเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภา เรื่องนี้อาจไม่ขัดข้อกฎหมาย แต่ถามว่ารัฐบาลจะหนีจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ไหม หากเป็นแบบนี้คนที่เป็นนายกฯจะต้องสร้างกระแสสังคมเพื่อให้มากดดันส.ส. ให้สนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ทำงานไปก่อน ถ้าทำได้รัฐบาลก็อยู่ได้ แบบที่ 2 ถ้า ส.ส. เป็นหลักในการเลือกนายกฯ และไม่มีปัญหากับ ส.ว. การทำงานของรัฐบาลก็จะไม่ยากมาก แต่ถ้าเป็นแบบที่ 3 คือ ส.ส. เป็นหลักในการเลือกนายกฯ แต่ขัดแย้งกับ ส.ว. แบบนี้ก็จะเหนื่อยอีกแบบ เพราะจะมีความขัดแย้งเป็นระยะ



