ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/edu-health/233352

ม.รังสิต, รัง, บรมครู, แนะแนว, แลกเปลี่ยน, เรียนรู้, สู่, เด็ก, เจน, แซด, สู่เด็กเจน, อาจารย์สมจิตร สุทธินันท์
ม.รังสิต, รัง, บรมครู, แนะแนว, แลกเปลี่ยน, เรียนรู้, สู่, เด็ก, เจน, แซด, สู่เด็กเจน, อาจารย์สมจิตร สุทธินันท์
ม.รังสิต, รัง, บรมครู, แนะแนว, แลกเปลี่ยน, เรียนรู้, สู่, เด็ก, เจน, แซด, สู่เด็กเจน, อาจารย์สมจิตร สุทธินันท์

การศึกษา-สาธารณสุข >ข่าวการศึกษา-สาธารณสุข  : 12 ก.ค. 2559

ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด

ม.รังสิตอบรมครูแนะแนวแลกเปลี่ยน เรียนรู้ สู่เด็กเจน แซด : เยี่ยมสถานศึกษา โดยนิรชา ทูลประสิทธิ์ และ วรเมธ เผ่าวิจารณ์

          “โครงการแนะแนวสัมพันธ์ จัดมานานมากแล้วตั้งแต่ปี 2543 เป็นการรวมครูแนะแนวเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้แก่ครูแนะแนว การทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยและครูแนะแนวทั่วประเทศ อาจารย์แต่ละโรงเรียนจะได้รู้จักกันมากขึ้น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์กัน ปรึกษาให้คำแนะนำกัน และในปีนี้เราจัดสัมมนาในหัวข้อเด็กเจนแซด เพื่อเปิดโลกทัศน์ให้อาจารย์ได้รู้ว่าเด็กสมัยนี้ก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ไฮเทคโนโลยีแล้วเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อรับมือและทำความเข้าใจกับเด็กสมัยนี้ให้มันและเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น” อาจารย์ศศวรรณ รื่นเริง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายแนะแนวและรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในงานสัมมนาอาจารย์แนะแนวทั่วประเทศหัวข้อ “การศึกษาไทย ยุทธศาสตร์ และความต้องการของประเทศ” ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

ดร.อาทิตย์  อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การศึกษาของเด็กไทยในอนาคตที่นำเอาค่านิยมของต่างชาติเข้ามาเป็นหลักจนทำให้เกิดการขาดสายอาชีพในกิจการที่ต้องการพยายามขยายอุตสาหกรรมในประเทศ ทั้งๆ ที่ต่างชาตินั้นต้องการเกษตรมากกว่า ในส่วนนี้ทำให้เห็นถึงค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง จำเป็นต่อการแก้ไข ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่จะสร้างความก้าวหน้าโดยการสร้างจุดเด่นให้กับสินค้าภายในประเทศแทนที่จะไปนำเข้า นำสินค้ามาดัดแปลงให้เป็นของตนเองเพื่อทำมูลค่าเพิ่มขึ้น

“ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรามีอยู่ ความเป็นไทย ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรทุกอย่างของไทย เป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกค้นหา เป็นสิ่งที่ควรต่อยอดให้มันเจริญขึ้นไป ไม่ใช่ในลักษณะขายกิน ซึ่งมันเป็นการคิดสั้นทั้งนั้นเลย การสร้างเศรษฐกิจและชีวิตด้วยปัจจัยที่ไม่ยั้งยืนเป็นแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เราได้รับตอบแทนกลับมานั้นมันไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป หากเป็นเช่นนั้นต่อไปประเทศไทยก็ย่อมหมดค่า” ดร.อาทิตย์ กล่าว

“อ.สุวัชชัย แก้วทรัพย์ศักดิ์” นักโปรแกรมจิตใต้สำนึกและการบำบัด “แนะแนวยุค เจนแซด” ว่าเด็กเจนแซด หรือเด็กรุ่นปัจจุบันที่กำลังเรียน ม.ปลาย เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย มือถือคืออวัยวะส่วนหนึ่ง ไวไฟ คือสิ่งสำคัญในชีวิต ดิจิทัล คือ ดีเอ็นเอ โลกเร็ว ฉันเร็ว ชอบที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นนี้ พ่อแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง ไม่ค่อยพูดคุยแต่สื่อสารผ่านข้อความทางมือถือหรือคอมพิวเตอร์แทน ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร มีความต้องการเป็นเจ้าของกิจการขนาดเล็กมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองไม่ชอบเหมือนใคร ไม่อยากให้ใครเหมือน ต้องการให้คนอื่นมาสนใจและคอมเมนท์ตัวเอง ต้องการให้คนอื่นรับฟัง เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองคือคนพิเศษเสมอเหมือนอย่างเน็ตไอดอล ต้องการให้คนอื่นเคารพความคิด และการตัดสินใจของเขามีความอดทนต่ำ ขี้เบื่อ

“ครูต้องไม่สอน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก เปลี่ยนตัวเองให้เป็นโค้ชมีหน้าที่ดึงศักยภาพของเด็กออกมาให้ได้ การเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนจากการลงมือทำ ปฏิบัติ หรือกิจกรรมประเภทอื่นๆ ผ่านการตั้งสโมสร ชมรม ทำให้เด็กเติบโตไปพร้อมกับวิชาการ ต้องเรียนวิชาคน และจะต้องมีวิชาเกินทุกอย่างที่เกินออกมาจากวิชาการล้วนมีบทบาทสำคัญ เด็กรุ่นนี้ถนัดอยู่ในโลกส่วนตัวมีโลกเสมือนเป็นของตัวเอง โรงเรียนจึงเป็นพื้นที่ในไม่กี่ที่ที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้คุยกับคนอื่น ครูควรออกแบบการเรียนรู้ให้ได้ทำงานร่วมกันจะช่วยให้เขาเข้าสังคมได้” อ.สุวัชชัย กล่าว

“อาจารย์สมจิตร  สุทธินันท์” อาจารย์แนะแนว ร.ร.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม หนึ่งในอาจารย์แนะแนว ที่ได้ร่วมโครงการ กล่าวว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และพัฒนาครู ให้ทันกับโลกในปัจจุบัน ปัจจุบันอาจารย์แนะแนวก็มีหลายยุคมียุคแก่ ยุคปานกลาง และยุคเด็กที่เพิ่งบรรจุใหม่ๆ พออาจารย์แต่ละยุคมาเจอกันก็จะได้มีการสร้างสัมพันธ์กันและได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน อย่างน้อยที่สุดจะรู้ว่าการทำงานของแต่ละโรงเรียนเป็นยังไง และเป็นสิ่งที่ดีมากที่ให้ครูได้มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน ได้ประสบการณ์และวิธีช่วยเหลือและให้คำปรึกษากับเด็กได้

“อยู่กับเด็กมา 3,000 คน เด็กสมัยนี้ไม่คุยด้วยภาษาพูดแต่จะคุยด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ภาษาแชท อยู่ใกล้ๆ กันก็ไม่คุยกัน เป็นยุคที่ถือว่ามีโลกส่วนตัวสูง ครูต้องคอยสังเกตว่าเด็กในกลุ่มนี้มีปัญหาอะไร เด็กกลุ่มนี้มีปัญหาเรื่องการเงินนะ เด็กกลุ่มนี้ติดเกมนะ เด็กกลุ่มนี้เล่นโทรศัพท์ตลอดเวลา จะช่วยเหลือด้วยการหากิจกรรมให้เด็กทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เด็กสมัยนี้ขาดการพูดคุย เราต้องหาวิธีการที่จะพยายามทำกิจกรรมร่วมกับเขา การมองเด็กไม่โทษเด็กฝ่ายเดียว แต่ต้องโทษสังคมโดยองค์รวมมันเป็นผลที่กระทบกันมาเรื่อยๆ เราก็จะได้หาวิธีการที่จะคุยกับเด็กได้และได้ใกล้ชิดและรู้ปัญหาเขามากขึ้น” อาจารย์สมจิตร กล่าวทิ้งท้่าย

 

Leave a comment