ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
26 สิงหาคม 2559 เวลา 10:23 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/450809

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ภายหลังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ออกมาประกาศจุดยืนต่อการปรับแก้รัฐธรรมนูญตามคำถามพ่วง โดยให้อำนาจ สว.เพียงแค่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่สามารถเสนอชื่อได้ มีเสียงสะท้อนตามมาจากนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ติดตามการตัดสินใจครั้งนี้
จักษ์ พันธ์ชูเพชร อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มองว่า ตรงตามเจตนารมณ์คำถามพ่วง เพราะเขียนค่อนข้างชัด ส่วนการตีความของ สนช. ที่ให้ สว.เสนอชื่อได้นั้นเป็นการตีความเกินเลยไป ถ้าคำถามพ่วงอยากให้เสนอชื่อก็ต้องเขียนให้ชัดว่าเสนอชื่อและโหวตได้
นอกจากนั้น ในช่วงการออกมาให้ความรู้ประชาชน ทั้ง กรธ.หรือฝ่ายรัฐ เกี่ยวกับคำถามพ่วงก็อธิบายว่าให้โหวตเท่านั้นซึ่งมีคำอธิบายเป็นชุด หาก กรธ.ไปเขียนแบบที่ สนช.ตีความก็มีโอกาสตีกลับสูง และถ้า สนช.ไม่เห็นด้วยก็ต้องออกมาค้าน ตั้งแต่แรกไม่ใช่รอประชามติผ่านก่อนแล้วค่อยออกมาตีความ
จักษ์ กล่าวว่า ในส่วนของคำถามพ่วงที่ผ่านประชามติได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นต้องไม่ทำเนื้อหาสาระของร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติด้วยคะแนนมากกว่าถูกบิดพลิ้ว เพราะประชาชนที่ลงคะแนนก็เข้าใจตามคำถามแบบนี้
อย่างไรก็ตาม การให้ สส.เป็นคนเสนอชื่อนายกฯ นั้น ยังตอบปรัชญาทาง “รัฐปรัชญา” ได้ เมื่อ สส.เป็นตัวแทนประชาชนมาจากการเลือกตั้ง การเสนอชื่อนายกฯ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หากให้ สว.เสนอจะไม่ชอบธรรมไม่ยึดโยงประชาชน ส่วนการโหวตนั้นเป็นระบบรัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารนั้น สว.อาจตีความว่าเป็นฝ่ายนิติบัญญัติตรงนี้รับได้ แต่การเสนอชื่อนี่ผิดหลักการและจะไปกันใหญ่
“การตัดสินใจของ กรธ.ถือว่าดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้ เพราะเมื่อร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงผ่านประชามติก็ต้องเดินต่อไป แต่ต้องเดินต่อไปให้มีปัญหาน้อยสุดเท่าที่ประชาชนยอมรับ หากเขียนมากกว่านี้ ปัญหาก็จะตามมา ประธานมีชัยก็คงไม่แฮปปี้ตั้งแต่เริ่มตั้งคำถามพ่วง ไม่งั้นก็คงให้บรรจุในร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก แต่รัฐธรรมนูญเปิดช่องให้มีคำถามพ่วงก็ต้องใส่มา แม้ไม่เห็นด้วยก็ตาม เมื่อร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมากกว่าคำถามพ่วงก็ต้องยึดตรงนั้นเป็นหลัก ต้องยอมหักดิบ สนช.ถือว่ามีความเป็นผู้นำสูง มีความกล้า”
จักษ์ อธิบายว่า เส้นทางจากนี้คงไม่มีเหตุให้สะดุดเพราะการเลือกออกมาเปิดเผยจุดยืนต่อสาธารณะใช้กระแสสังคมเข้ามาช่วย ประกาศชัดเจนว่าอาทิตย์หน้าจะยื่นศาล จะมีการถ่วงก็ไม่ได้ ถือว่าประธานมีชัยฉลาดที่ออกมาพูดอาทิตย์นี้แล้วยื่นอาทิตย์หน้า ไม่ทิ้งช่วง นี่คือความชาญฉลาดเรื่องเวลาพอสมควร
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีการห่วงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะ 250 สว.ก็ไม่ใช่ว่าจะควบคุมได้หมด เพราะ สว.ไม่ได้สังกัดพรรค เมื่อเข้าไปนั่งในสภาก็อยู่ยาวปล่อยเสือเข้าป่าคอนโทรลยาก ที่มองว่า สว.จะเกาะกลุ่มเป็นพรรคใหญ่ยิ่งไม่มีทาง เพราะปล่อยเข้าป่าแล้วทำอะไรไม่ได้ 5 ปีไม่มีใครปลดได้ กรรมการจริยธรรมก็ไม่ใช่ง่าย คสช.จึงจำเป็นต้องนำคนในกองทัพไปนั่งใน สว.
ด้าน ยุทธพร อิสรชัย รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า การเลือกผู้นำหรือนายกฯ ในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชน และสะท้อนเจตนารมณ์ประชาชน อีกทั้งตามเจตนารมณ์มาตรา 88 ระบุให้พรรคเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกฯ 3 ชื่อ ก็เป็นการเชื่อมโยงประชาชนผ่าน สส. รวมทั้งประเพณีการปกครองมาตรา 159 วรรคหนึ่ง วรรคสองในร่างรัฐธรรมนูญ เขียนชัดเจนว่า สส.เป็นผู้เสนอชื่อ ดังนั้นในบทหลัก สส.ต้องเสนอชื่อ แน่นอนว่าจะให้บทเฉพาะกาลที่เป็นข้อยกเว้นมาสำคัญกว่าบทหลักไม่ได้
นอกจากนี้ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำขัดกับจุดยืนของ สนช. เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 37 ว่าหลังคำถามพ่วงผ่านประชามติแล้ว คนที่แก้ไขเพิ่มเติมเรื่องนี้ก็เป็น กรธ. ถือเป็นหน้าที่ กรธ.โดยตรง พร้อมกำหนดกรอบเวลา 30 วัน ก่อนส่งศาลรัฐธรรมนูญ เป็นภาพที่ชัดเจนเรื่องสิทธิบทบาทหน้าที่ กรธ.โดยตรง
ยุทธพร กล่าวว่า การเขียนไว้เช่นนี้ไม่ใช่การปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอกเพราะร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่ห้ามนายกฯ คนนอก มีโอกาสตั้งแต่ต้น ขั้นตอนพรรคการเมืองเสนอ 3 ชื่อ ที่ไม่กำหนดว่าต้องเป็นคนในบัญชีรายชื่อหรือต้องเป็น สส.ดังนั้นพรรคเสนอคนนอกได้แต่ต้น
อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชน พฤษภา’35 กล่าวว่า การปรับแก้ของ กรธ.ทำให้ประชาชนหายระแวงไปเยอะ แต่หวังว่าคงไม่มีใครไปเล่นตลกกลางทาง แต่ความพยายามสืบทอดอำนาจก็ยังมีอยู่ ตามโรดแมปของทหารมีเป้าหมายที่จะทำให้อยู่ในอำนาจต่อไป
ทั้งนี้ การที่มีความพยายามออกมาสนับสนุนนายกฯ คนนอกก็เป็นแนวทางหนึ่ง แต่การที่ประชาชนลงประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงนั้นก็ไม่ควรไปทำให้เกิดการยอกย้อนหรือซ่อนเงื่อนจนประชาชนไม่ไว้ใจก็จะเกิดการสวิงได้
“ถ้าเคารพอำนาจประชาชนอย่างที่ว่า เดินไปอย่างตรงไปตรงมาบ้านเมืองก็เดินไปได้ตามเจตนารมณ์ อย่าไปใช้วิธีแปลกปลอมที่จะทำให้ความเชื่อมั่นหมดไปไม่คุ้มกับสิ่งที่ทำมา จากคนที่เห็นด้วยก็จะออกมาต่อต้าน ซึ่งประชามตินั้นจะผ่านหรือไม่ผ่านก็ดีทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ดีกว่าอยู่กับที่ไม่รู้จะไปซ้าย ขวา”
อดุลย์ กล่าวว่า ในเรื่องประเด็นนายกฯ คนนอก ส่วนตัวไม่ให้ความสำคัญมากนัก แต่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณสมบัตินายกฯ ว่าพร้อมแค่ไหน คำว่านายกฯ คนดี ดีแล้วทำอะไรไม่เป็น ไม่ได้มีคุณสมบัตินายกฯ พอเพียงบ้านเมืองก็เสียหาย คุณสมบัตินายกฯ จึงเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญกว่าคนในคนนอก หากเป็นคนในก็จะทำให้ประชาชนทราบฝีมือ ประสบการณ์ แต่หากเป็นคนนอกโดยเฉพาะมาจากทหาร ซึ่งส่วนใหญ่จะขาดประสบการณ์เห็นโปรไฟล์อยู่แล้วขึ้นมาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด