จับตากรธ.ปรับที่มานายกฯ โรยกลีบกุหลาบให้คนนอก?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 สิงหาคม 2559 เวลา 10:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/447951

จับตากรธ.ปรับที่มานายกฯ โรยกลีบกุหลาบให้คนนอก?

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

แม้การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยังมีคำถามต่างๆ ตามมามากมาย เพราะร่างรัฐธรรมนูญกำลังจะกลับเข้าไปสู่กระบวนการแก้ไขอีกครั้ง ด้วยเหตุที่คำถามพ่วงผ่านความเห็นชอบเหมือนกับร่างรัฐธรรมนูญ

“ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี” เนื้อหาทั้งหมดในคำถามพ่วง

ทั้งนี้ กรธ.มีระยะเวลาปรับแก้เนื้อหาให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ จากนั้นส่งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าสอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติหรือไม่ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญ

หากศาลวินิจฉัยว่าไม่มีปัญหา ทุกอย่างก็เดินหน้า นายกรัฐมนตรีสามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายได้ทันที แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น กรธ.ต้องแก้ไขให้ตรงกับความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 15 วัน และส่งให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย

เท่ากับว่าในช่วงเวลา 2 เดือนโดยประมาณ จะมีคำถามที่พุ่งมายัง กรธ.อย่างรุนแรงว่าจะปรับปรุงบทบัญญัติที่ว่าด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรีให้มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร

ในเชิงเทคนิคแล้ว การมีคำถามพ่วงเข้ามาทำให้บทบัญญัติเดิมที่เกี่ยวกับการเลือกนายกฯ ที่ กรธ.ได้วางเอาไว้ต้องถูกแก้ไขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กล่าวคือ เดิมที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่ตอนรับสมัคร สส. แต่หากเกิดกรณีที่สภาไม่สามารถเลือกนายกฯ จากบุคคลในบัญชีดังกล่าวได้ ให้ไปขอมติจากที่ประชุมรัฐสภา (สส.และ สว.) เพื่อขอให้ยกเว้นการใช้รัฐธรรมนูญเพื่อให้สภาสามารถเลือกนายกฯ จากบุคคลที่ไม่อยู่ในบัญชีของพรรคการเมืองได้

แต่เมื่อมีคำถามพ่วงเข้ามา ทำให้เกิดปัญหาว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่รัฐสภาไม่สามารถเลือกนายกฯ จากคนในบัญชีของพรรคการเมืองได้แล้ว จะมีทางแก้ไขอย่างไร?

ทั้งนี้ มีหลายสูตรที่มีการประเมินไว้ว่า กรธ.อาจจะบัญญัติไว้ เช่น การให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติร่วมกันเพื่อเลือกนายกฯ ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีของพรรคการเมือง แต่ยังคงให้สภาเป็นฝ่ายเสนอชื่ออยู่ หรือให้รัฐสภามีมติแบบกรณีแรก แต่ให้วุฒิสภาเป็นฝ่ายเสนอชื่อแทนสภา หรือให้จัดเลือกตั้งใหม่เพื่อมอบการตัดสินใจให้กับประชาชนอีกครั้ง

ทุกสูตรมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ท่ามกลางเงื่อนไขและสถานการณ์พิเศษเช่นนี้ และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มมีท่าทีต่อประเด็นการเข้ามาเป็นนายกฯ คนนอกที่น่าสนใจพอสมควร

“ยังไม่ตอบตอนนี้ และยังไม่เกี่ยวกับตน แต่เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้มุ่งหวังที่ตน แต่หวังว่าหากตั้งรัฐบาลไม่ได้ จึงจะมีนายกรัฐมนตรีคนนอก จึงขออย่าเปิดประเด็นใหม่ อย่างที่ตนบอกแล้วว่าอย่าไปกลัวผีที่มองไม่เห็น เพราะตอนนี้ยังมีผีหลอกหลอนอีกเยอะ ตนกำลังทำยันต์กันผีอยู่” ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.

เป็นท่าทีที่ค่อนข้างต่างจากเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า ตัวเองจะไม่ขอกลับมาเป็นนายกฯ อีก และเมื่อมาประกอบกับสถานการณ์ที่ กรธ.กำลังจะแก้ไขเนื้อหาเกี่ยวกับที่มาของนายกฯ ด้วยแล้ว ยิ่งมีผลให้ความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะมีนายกฯ หลังจากการเลือกตั้งที่ไม่ได้เป็น สส.เพิ่มมากขึ้น โดยมีชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นเต็งหนึ่ง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขทางกฎหมายและสถานการณ์ทางการเมืองค่อนข้างเอื้อให้นายกฯ คนนอกเข้ามาบริหารประเทศ

เริ่มตั้งแต่ระบบเลือกตั้ง สส. “จัดสรรปันส่วนผสม” ซึ่งใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียวมาคำนวณหา สส.ทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ ไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เสียงข้างมากแบบเด็ดขาดในสภา ในทางกลับกันเป็นการทำให้สภาพที่พรรคขนาดกลางมีอำนาจต่อรองเข้าร่วมรัฐบาล

อีกทั้งวุฒิสภายังมีอำนาจต่อรองในการเลือกนายกฯ ด้วย เพราะมีเสียงในรัฐสภาถึง 250 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียง ซึ่งเป็นจำนวนที่มีอำนาจต่อรองสูงพอสมควร

เว้นเสียแต่พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะรวบรวมเสียงในสภาได้เกิน 375 เสียงเพื่อให้คนของตัวเองเป็นนายกฯ ถ้าทำได้ เสียงของ สว.ก็จะไม่มีความหมาย แต่ในทางปฏิบัติแล้วต้องถือว่าหืดขึ้นคอพอสมควร

เมื่อเงื่อนไขทางกฎหมายไม่ได้อำนวยให้สามารถตั้งรัฐบาลด้วยระบบปกติได้สะดวกมากนัก แต่เปิดทางด่วนพิเศษเอาไว้ โอกาสของการตั้งรัฐบาลด้วยเงื่อนไขพิเศษย่อมมีความเป็นไปได้สูง และคนที่เหมาะที่สุดคงหนีไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์

เหลือเพียงแค่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นว่าจะตัดสินใจเข้าเป็นผู้นำประเทศโดยมีนักการเมืองเป็นบริวารหรือไม่เท่านั้น

 

Leave a comment