ประชามติ… รับ-ไม่รับ ออกทางไหนก็ป่วน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 สิงหาคม 2559 เวลา 10:49 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/446118

ประชามติ... รับ-ไม่รับ ออกทางไหนก็ป่วน

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เส้นทางสู่การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 ส.ค. เหลือเพียงอีกแค่ 5 วันสุดท้ายที่จะชี้ขาดว่าประชาชนทั่วประเทศคิดเห็นอย่างไรกับร่างรัฐธรรมนูญนี้ อย่างไรก็ตามประเมินล่วงหน้าไปถึงผลการออกเสียงที่จะเกิดขึ้นนั้น ไม่ว่าเสียงส่วนใหญ่จะ “รับ” หรือ “ไม่รับ” ก้าวย่างต่อจากนี้ย่อมเต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ยากจะหลีกเลี่ยง

กรณีแรกร่างรัฐธรรมนูญผ่านการออกเสียงประชามติที่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมีปัญหา หรือนำไปสู่เหตุวุ่นวายใดๆ

เมื่อขั้นตอนต่อจากนี้ถูกล็อกไว้ให้ต้องเดินหน้าไปตาม “ขั้นตอน” ไม่อาจเป็นอย่างอื่น เริ่มตั้งแต่การออกกฎหมายลูกซึ่งมี 4 ฉบับที่เป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ทั้ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และการได้มาซึ่ง สว. และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการจัดทำกฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับ และส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หาก สนช.เห็นว่าต้องแก้ไขก็จะส่งกลับมายัง กรธ. พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อพิจารณารายละเอียดร่วมกันระหว่าง กรธ.และ สนช.

เบ็ดเสร็จก็จะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน ในการจัดทำกฎหมายลูก เมื่อประกาศใช้ก็จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ภายใน 150 วัน

มีประเด็นเล็กน้อยตรงในกรณีที่คำถามพ่วงที่กำหนดให้ สว.ชุดแรกมีส่วนร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านประชามติ ซึ่งจะทำให้อาจต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในส่วนที่ กรธ.ต้องปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญให้เข้ากับคำถามพ่วง ต่อจากนั้นต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแก้ไขถูกต้องหรือไม่ โดยจะใช้เวลาอีกประมาณ 1 เดือนกว่า

เบื้องต้น เส้นทางนี้ดูเหมือนจะราบเรียบไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่นี่อาจเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มต่อต้านที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเคยพยายามเรียกร้องให้เปิดกว้างแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี หยิบยกเหตุผลนี้มาเคลื่อนไหวไม่เห็นด้วยกับผลของประชามติ ที่ถูกมองว่าปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มเห็นต่าง

แม้จะไม่มีผลทำให้กระบวนการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญต้องสะดุด แต่ก็บั่นทอนความน่าเชื่อถือของตัวรัฐธรรมนูญ และเป็นหัวเชื้อที่จะถูกหยิบยกไปเคลื่อนไหวต่อไป

อีกทั้งยังกระทบต่อไปถึงความเชื่อมั่นในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ออกมาประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การที่จะต้องกลับเข้ามาลงเลือกตั้งในกติกาที่ไม่เห็นด้วยย่อมถูกนำไปใช้เพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองในอนาคต

ที่สำคัญแรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายย่อมกระทบต่อไปถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะที่จะเป็นคนคุมสถานการณ์ไปจนถึงเวลาที่จะมีการเลือกตั้ง ต่อเนื่องไปจนถึงกระบวนการเลือก สว.ชุดแรกที่จะมาจากการสรรหา

ยิ่งในกรณีที่คำถามพ่วงประชามติผ่านความเห็นชอบ สว.ชุดนี้จะสามารถมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นชนวนสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกระลอก

กรณีที่สองร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ แน่นอนว่าความวุ่นวายจะเกิดขึ้นทันทีตั้งแต่ผลออกมา เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับต่อไปจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่ คสช.จะกำหนดในเวลาต่อมาหลังรู้ผลประชามติ

กระบวนการในช่วงหลังประชามติย่อมถูกเพ่งเล็งว่า คสช.จะงัดไม้ไหนมาดำเนินการ ทั้งร่างเอง หรือตั้งคณะทำงานชุดใหม่ขึ้นมาร่างแทน ที่สำคัญมีแนวโน้มจะไม่มีการทำประชามติที่จะเสียทั้งเวลาและงบประมาณอีกประมาณ 3,000 ล้านบาท ที่จะยิ่งเกิดแรงต้านมากขึ้น

ปัญหาจะรุนแรงมากขึ้นหากเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมามีเนื้อหาที่ล่อแหลมและไม่เป็นที่ไว้ใจของสังคม โดยเฉพาะในประเด็นการเปิดช่องสืบทอดอำนาจให้ คสช. หลังจากมีการเลือกตั้งที่จะยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลายรุนแรงมากขึ้น

อีกด้านหนึ่งหลังประชามติไม่ผ่าน กลุ่มต่อต้าน คสช.ย่อมใช้โอกาสนี้นำเสียงของประชาชนมาเดินเกมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ตามที่เคยดักคอไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหากประชาชนไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ

แน่นอนแรงกระเพื่อมนี้ย่อมไม่มีน้ำหนักที่จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากตำแหน่ง แถมมีแนวโน้มจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือจัดการกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว ตรงนี้จะยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลายหนักขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ไม่ว่าผลการออกเสียงประชามติจะออกมาอย่างไรย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนได้ อยู่ที่ คสช.จะเลือกจัดการและควบคุมสถานการณ์อย่างไร

 

Leave a comment