ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
10 สิงหาคม 2559 เวลา 12:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/447751

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้กำลังเป็นไปตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้วางไว้หลังจากร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่ให้ สว.และ สส.ร่วมกันเลือกนายกรัฐมนตรีผ่านการทำประชามติ
ขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบความถูกต้องของการทำประชามติ พร้อมกับรับรองผลคะแนนและส่งมาให้คณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เมื่อนั้น กรธ.จะสามารถลงมือนำคำถามพ่วงมาปรับเพื่อบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญ
กระบวนการนี้ กรธ.ต้องทำให้เสร็จภายใน 30 วัน และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขของ กรธ.สอดคล้องกับผลการออกเสียงหรือไม่ ถ้าการแก้ไขของ กรธ.มีปัญหา กรธ.จำเป็นต้องนำความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญมาพิจารณาเพื่อปรับปรุงให้เสร็จภายใน 15 วัน ก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขของ กรธ.ถูกต้องแล้ว จะเป็นหน้าที่ของนายกฯ ในการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไปเช่นกัน
ทั้งนี้ มีการคาดกันว่าประเทศไทยจะได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยคำถามพ่วงอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน ธ.ค. จากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งจำนวน 4 ฉบับที่ต้องให้เสร็จภายใน 240 วัน และส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง สส.ปลายปี 2560 หรือต้นปี 2561
อย่างไรก็ตาม ผลของการออกเสียงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค. นอกจากจะเป็นการพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งตามแนวทางของ คสช.แล้ว อีกด้านหนึ่งยังเป็นสัญญาณทางการเมืองบางประการที่ประชาชนส่งมาให้กับพรรคการเมืองด้วย
กล่าวคือ พรรคการเมืองไม่สามารถชี้นำให้ประชาชนคล้อยตามได้
ต้องไม่ลืมว่า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งในอดีตทั้งสามพรรคมีจำนวน สส.รวมกันเกือบเต็มสภา ประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ทว่าสุดท้ายผลการลงคะแนนกลับเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“พรรคเพื่อไทย” มีฐานที่มั่นในภาคอีสานและภาคเหนือ ปรากฏว่าแพ้อย่างหมดรูปเมื่อเทียบกับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550
ภาคเหนือ ปี 2550 เห็นชอบ 54.47% ไม่เห็นชอบ 45.53% มาในปี 2559 คนภาคเหนือก็ยังคงให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหารเหมือนเดิม แต่ให้ความเห็นชอบในตัวเลขที่เพิ่มขึ้น เห็นชอบ 57.67% ไม่เห็นชอบ 42.33%
ไม่ต่างอะไรกับภาคอีสาน แม้จะไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญจากทหารทั้งของปี 2550 และ 2559 แต่กลับพบว่ามีคะแนนที่ไม่เห็นชอบลดลง โดยปี 2550 ไม่เห็นชอบ 62.80% เห็นชอบ 37.20% ปี 2559 ไม่เห็นชอบ 51.42% เห็นชอบ 48.58%
พรรคประชาธิปัตย์ มีฐานสำคัญใน กทม. แต่คนเมืองหลวงลงมติเห็นชอบ 69.43% ไม่เห็นชอบ 30.57% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่เห็นชอบ 65.69% ไม่เห็นชอบ 34.31% แต่ความคิดของคน กทม.ที่สวนทางกับพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่หนักเท่าความคิดของประชาชนใน ภาคใต้ที่เห็นแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคนภาคใต้ลงมติเห็นชอบ 76.65% และไม่เห็นชอบ 23.35% ทั้งๆ ที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงต่อสาธารณะ
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนานั้นก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับสองพรรคการเมืองใหญ่ เพราะจังหวัดที่เป็นฐานเสียงของพรรค 4 จังหวัดต่างลงประชามติหักหน้าแกนนำพรรคอย่างสิ้นเชิง ประกอบด้วย สุพรรณบุรี เห็นชอบ 60.8% ไม่เห็นชอบ 39.2% อ่างทอง เห็นชอบ 59.04% ไม่เห็นชอบ 40.96% อุทัยธานี เห็นชอบ 74.74% ไม่เห็นชอบ 25.26% พิจิตร เห็นชอบ 65.36% ไม่เห็นชอบ 34.64%
จริงอยู่การลงประชามติครั้งนี้ พรรคการเมืองค่อนข้างถูกจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการทำกิจกรรมทางการเมืองพอสมควรเมื่อเปรียบกับการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พรรคการเมืองพ่ายแพ้เสียทีเดียว เพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าประชาชนกำลังส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจกับท่าทีของพรรคการเมืองในระยะหลัง
การรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีสาเหตุหนึ่งจากการหักและไม่ยอมงอของพรรคการเมืองวิวาทะและข้อพิพาทต่างๆ ที่ควรคลี่คลายตามครรลองของประชาธิปไตยกลับไม่เป็นเช่นนั้น ต่างฝ่ายต่างใช้พลังทางการเมืองของตัวเองจนนำมาซึ่งการเผชิญกันนอกสภา จึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้ทหารเข้ามารัฐประหาร
แม้ผลงานของ คสช.และรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนอาจจะยังไม่เข้าตาเท่าไหร่นัก แต่การช่วยให้ประเทศเกิดความสงบสุขได้จากเดิมที่ก่อนการรัฐประหารมีแต่ความวุ่นวาย ก็เพียงพอกับการลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง
ดังนั้น การประชามติครั้งนี้จึงเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช.ไม่มากก็น้อย สวนทางกับความชอบธรรมของฝ่ายการเมืองที่ลดลง และจะลดลงไปมากกว่านี้อีก ตราบใดที่ยังไม่นำผลประชามติที่ออกมามาเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง