ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
06 กันยายน 2559 เวลา 09:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/452741

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
กระแสวิพากษ์วิจารณ์และเสียงคัดค้านดังขึ้นทันที หลังจากกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ออกมาจุดประเด็นเสนอให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง แทนกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ไม่น่าแปลกใจเพราะข้อเสนอที่ออกมา ย่อมถูกมองว่าเป็นการดึงบ้านเมืองให้เดินถอยหลังย้อนกลับไปเผชิญกับปัญหาเหมือนในอดีต
ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีกระบวนการต่อสู้ ดิ้นรนจนสามารถผลักดันจนเกิดองค์กรอิสระอย่าง กกต.ขึ้นมาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งด้วยความคาดหวังว่าจะเป็นกลางปราศจาการแทรกแซงทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง
ด้วยอำนาจหน้าที่และบทบาทของรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยสามารถให้คุณให้โทษแก่บรรดาข้าราชการตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดเรื่อยไปจนถึงผู้ใหญ่บ้าน จนทำให้กลไกเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองทั้งแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ
จะเห็นว่าช่วงแต่งตั้งโยกย้ายก่อนเลือกตั้ง พรรคที่เป็นรัฐบาลสามารถชิงความได้เปรียบด้วยการวางคนของตัวเองหรือคนที่ไว้ใจได้เข้าไปประจำการในพื้นที่เสี่ยงที่ฐานเสียงเสียเปรียบหรือสูสีกับคู่แข่ง
ไม่ว่าจะด้วยข้อตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือการยอมปวารณาตัวขอสร้างผลงานซื้อใจนายหวังเติบโตในหน้าที่การงานในอนาคต ทำให้วงจรนี้กัดกร่อนกลไกการเลือกตั้งเรื่อยมาและทำให้พรรคที่เป็นรัฐบาลฉกฉวยความได้เปรียบคู่แข่งที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
กกต.ที่เกิดขึ้นจึงเป็นกลไกที่พัฒนาขึ้นมาสกัดวังวนปัญหาไม่ให้ทุกอย่างกลับไปติดหล่มเหมือนในอดีต
สุดท้ายเมื่อมีความพยายามจะปัดฝุ่นแนวคิดคืนอำนาจให้กระทรวงมหาดไทยจัดการเลือกตั้งรอบนี้ ถูกมองว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็น “ดาบสอง” ช่วยกรุยทางสืบทอดอำนาจให้ลุล่วงไปด้วยดี
เมื่อ “ดาบแรก” กับแผนผลักดันให้ สว.เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ที่ล้อไปกับการให้อำนาจ สว.เข้ามาร่วมเลือกนายรัฐมนตรี เปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอก มีอันต้องสะดุด เพราะทางกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยืนกรานในจุดยืนให้เฉพาะอำนาจเลือกแต่ไม่ให้อำนาจเสนอชื่อ
อยู่ที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดวินิจฉัยว่าอย่างไร จะคล้อยตาม กรธ. หรือจะเห็นพ้องไปกับแนวคิดของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่พยายามผลักดันให้อำนาจเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแก่ สว. 250 คน ชุดที่จะถูกคัดสรรโดยกรรมการสรรหาที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ความพยายามผลักดันให้มหาดไทยเข้ามาจัดการเลือกตั้งจึงกลายเป็นแผนสำรอง หลังข้อเสนอให้ สว.เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไปไม่ถึงจุดหมาย
ยิ่งหลังจากผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชน 16.8 ล้านคน เห็นชอบ และอีก 15.1 ล้านคน เห็นชอบคำถามพ่วง ที่ถูกมองว่าเบื้องหลังคะแนนเสียงที่ล้นทะลักกว่าประชามติ 2550 นั้น เป็นผลงานส่วนหนึ่งของกระทรวงมหาดไทยที่ปูพรมลงไปทำงานในพื้นที่
อีกทั้งต้องย้ำว่ากลไกของกระทรวงมหาดไทยยังเข้มแข็งอยู่
นี่จึงนำมาสู่แนวคิดที่จะให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาจัดการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเสียง สว.ไม่อาจเสนอชื่อนายกฯ ได้ คนที่จะเสนอชื่อนายกฯ ได้ทั้งรอบแรกและรอบสองก็คือพรรคการเมืองที่มี สส.เกิน 25 คน หรือหากเข้าสู่รอบที่สองก็ไม่จำเป็นต้องใช้ที่นั่งถึง 25 เสียงสอดรับไปกับแนวคิดของ ไพบูลย์นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่ประกาศเตรียมตั้งพรรคการเมือง “ประชาชนปฏิรูป” สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย
สอดรับไปทั้งระบบกับกลไกแม่น้ำสายต่างๆ ที่ยิ่งตอกย้ำข้อกังขาเรื่อง “สืบทอดอำนาจ”
รอบนี้ไม่ได้เสนอขึ้นมาลอยๆ แต่อ้างอิงมีที่มาที่ไปถึงข้อเสนอในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมการมาธิการร่างรัฐธรรมนูญที่คิดสูตรนี้ไว้ก่อนแล้วให้อำนาจ กระทรวงมหาดไทยมาจัดเลือกตั้งแทนในทางปฏิบัติทั้งหมด แต่การแจกใบเหลืองใบแดงยังคงเป็นของ กกต.เหมือนเดิม
พร้อมอธิบายว่า การแบ่งแยกอำนาจ “การจัดเลือกตั้ง” และ “ตรวจสอบเลือกตั้ง” จะทำให้กลไกทั้งระบบมีประสิทธิภาพมากกว่า
ไม่แปลกที่บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ จะออกมาต่อต้านแนวคิดนี้ เพราะเมื่ออ่านเกมล่วงหน้าแล้ว การให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาคุมเลือกตั้ง อาจส่งผลกระทบต่ออิสระและความคล่องตัวในพื้นที่ได้ และกระทบต่อไปถึงจำนวนเก้าอี้ที่จะได้ในอนาคต
เผือกร้อนนี้กำลังจะย้อนกลับมาอยู่ที่มือ กรธ.ในฐานะคนที่จะจัดทำร่างรัฐธรรมนูญว่าจะเห็นด้วยกับแนวคิดนี้หรือไม่อย่างไร
ที่สำคัญร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ซึ่งผ่านประชามติแล้ว กำหนดชัดเจนว่า ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดหรือดำเนินการให้มีการเลือกตั้ง เป็นของ กกต.