ลุ้นเจรจาสันติภาพเมียนมา เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กันยายน 2559 เวลา 06:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/451788

ลุ้นเจรจาสันติภาพเมียนมา เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาอีกครั้ง โดยตัวแทนจาก 17 ชนกลุ่มน้อย เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพ หรือการเจรจาปางโหลงศตวรรษที่ 21 ร่วมกับรัฐบาลและตัวแทนกองทัพ ที่กรุงเนย์ปิดอว์ เพื่อหวังปูทางไปสู่การยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาตั้งแต่ประกาศเอกราชในปี 1947

การประชุมจะจัดขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดย อองซานซูจี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศและที่ปรึกษาแห่งรัฐ เป็นประธานเปิดงาน ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่จับตาดูอนาคตของประเทศภายใต้รัฐบาลพลเรือนครั้งแรก โดยเฉพาะจีน สหรัฐ และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายใหญ่

ซูจี กล่าวเปิดการประชุมว่า ความเป็นเอกภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่ออนาคตของเมียนมา และหากไม่มีความปรองดองก็ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างประเทศเพื่อนบ้านและทั่วโลก

ทั้งนี้ ชนกลุ่มน้อยเกือบทุกกลุ่มได้รับเชิญให้เข้าร่วม ยกเว้น 3 กลุ่มซึ่งยังต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ได้รับการเชิญ เพราะไม่มีท่าทีเห็นด้วยกับเงื่อนไข โดยชน
กลุ่มน้อยส่วนใหญ่ตอบรับคำเชิญ นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและตัวแทนจากนานาชาติ เช่น บันคีมุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็เข้า
ร่วมด้วย

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า การประชุมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นก่อนการต่อรองข้อตกลงสันติภาพถาวรซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี อย่างไรก็ดี รัฐบาลเมียนมาหวังว่าอย่างน้อยผลการเจรจานี้ น่าจะนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงหยุดยิงเพื่อแลกกับการเพิ่มอำนาจปกครองตนเองให้รัฐบาลชนกลุ่มน้อย

ด้าน โจนาห์ ฟิชเชอร์ ผู้สื่อข่าวสายเมียนมาของบีบีซี ระบุว่า รัฐบาลให้คำมั่นที่ค่อนข้างกำกวมในเรื่องจะผลักดันให้เกิดสหพันธรัฐเมียนมาที่มีการกระจายอำนาจและทรัพยากรมากขึ้น เพื่อดึงกลุ่มชนกลุ่มน้อยติดอาวุธมาร่วม อย่างไรก็ดี กลุ่มทหารซึ่งครองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา อาจคัดค้านการเคลื่อนไหวกระจายอำนาจใหชนกลุ่มน้อย ขณะที่ซูจีก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการให้มีการกระจายอำนาจในระดับไหน

ทั้งนี้ รัฐบาลทหารก่อนหน้าได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกกับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม แต่ยังไม่เคยร่วมหาข้อตกลงระดับชาติในลักษณะนี้มาก่อน

แหล่งผลประโยชน์นานาชาติ

นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยว่า จีนพยายามที่จะยุติการต่อสู้ที่ยืดเยื้อของชนกลุ่มน้อยตามชายแดนระหว่างเมียนมาและจีน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยสนับสนุนกลุ่มเหล่านั้นก็ตาม เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในเมียนมา ส่งผลให้การลักลอบค้าไม้และหยกผิดกฎหมายดำเนินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งดังกล่าวยังขัดขวางการค้าถูกกฎหมายระหว่างชายแดนจีนทางใต้และเมียนมา

อีกทั้งจีนยังวางแผนสร้างทางรถไฟและถนนที่เชื่อมต่อตอนเหนือของเมียนมาไปยังอ่าวเบงกอล ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซ และกระตุ้นการค้ากับภูมิภาคตะวันออกกลางโดยไม่ต้องผ่านทะเลจีนใต้ แต่แผนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความขัดแย้งยุติลง

ขณะเดียวกันบรรดาธุรกิจสหรัฐล้วนต้องการเข้ามาลงทุนหลังกระทรวงการคลังสหรัฐยกเลิกการคว่ำบาตร แต่ยังกังวลปัญหาความขัดแย้ง ส่วนญี่ปุ่นก็มองเห็นเมียนมาเป็นปลายทางการลงทุนที่สำคัญในอนาคต และได้ให้เงินช่วยเหลือในการพัฒนาจำนวนมาก

ด้าน ถั่นมินท์อู นักประวัติศาสตร์เมียนมาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระบุว่า ความสำเร็จในเมียนมาเป็นบททดสอบยูเอ็น ที่เข้ามาผลักดันการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยและพยายามยุติความขัดแย้งในเมียนมา โดยความท้าทายของยูเอ็นหลังจากนี้คือ ต้องผลักดันให้เมียนมาเดินหน้าในด้านความเท่าเทียมของพลเมือง และปัญหาการเอารัดเอาเปรียบชนกลุ่มน้อย อันนำไปสู่ปัญหาผู้อพยพในประเทศเพื่อนบ้าน

 

Leave a comment