ธปท.ห่วงคนไทยไม่มีทางห่างไกลหนี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 ส.ค. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/707415

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยบทความ “มองมาตรการภาครัฐและหนี้ครัวเรือนผ่านข้อมูลเครดิตบูโร” ว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ใช้มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลต่อสภาวะทางการเงินของครัวเรือน ซึ่งมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศด้วย งานวิจัยของ ธปท.เรื่องนี้ได้วิเคราะห์มาตรการภาครัฐและหนี้ครัวเรือนเชิงลึก โดยใช้ข้อมูลเชิงสถิติของสินเชื่อบุคคลรายสัญญาจากเครดิตบูโร ซึ่งมาจากสถาบันการเงินกว่า 89 แห่ง และครอบคลุมรายละเอียดของหนี้และประวัติการชําระหนี้ของผู้กู้กว่า 16 ล้านคนทั่วประเทศ หรือกว่า 85% ของสินเชื่อครัวเรือนทั้งระบบตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 7 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไทย

โดยพบว่า 61.2% ของหนี้ในระบบกระจุกตัวอยู่กับครัวเรือนเพียง 10% เท่านั้น และตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ทุกพื้นที่มีการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนต่อหัว แต่ด้วยระดับที่ไม่เท่ากัน โดย 64% ของปริมาณหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากผู้กู้ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในระบบ โดยพบว่าครัวเรือนมีการกู้เพื่อซื้อทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์และจำนวนผู้กู้ที่มีสินเชื่อมากกว่าหนึ่งสัญญาก็ขยายตัวมากขึ้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งพบว่าอาจเป็นผลมาจากมาตรการภาครัฐ

งานวิจัยนี้ยังได้ระบุถึงโครงการรถคันแรกในช่วงปี 2554-2555 เป็นกรณีศึกษา โดยระบุว่าโครงการดังกล่าวจัดเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจประเภทหนึ่ง โดยทำผ่านสินค้าคงทน (Durable Goods Stimulus) กลไกของการสร้างแรงจูงใจในรูปตัวเงินให้คนซื้อสินค้าคงทนในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำหนด ทำให้เกิดการยืมความต้องการใช้จ่ายในอนาคตมาใช้ใน ปัจจุบัน โดยงานวิจัยนี้พบว่าโครงการรถคันแรกได้ส่งผลกระทบทางลบต่อความสามารถการชำระหนี้ และแนวโน้มการสร้างหนี้ใหม่ของผู้เข้าร่วมโครงการ และพบว่าผู้เข้าร่วมโครงการมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังการซื้อรถคันแรก ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สินเชื่อรถคันแรกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงสินเชื่ออื่นๆของผู้ร่วมโครงการด้วย ซึ่งสะท้อนผลกระทบทางลบดังกล่าว อาจจะลดประสิทธิผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดียวกันในอนาคต และบั่นทอนเสถียรภาพการเงินในระยะยาว.

 

Leave a comment