แบงก์ยุคใหม่ทำใจสูญส่วนแบ่งตลาด-กำไร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 ส.ค. 2559 06:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/707420

 

ฟินเทคฮุบลูกค้ารายย่อยใน 5 ปี

แบงก์ยุคใหม่รับสภาพ แข่งขันรันทด เจอทั้งศึกใน-ศึกนอก ทำใจคาดเสียฐานลูกค้ารายย่อยให้ฟินเทคภายใน 5 ปี เผย 3 ความเสี่ยงที่อาจสูญเสีย ทั้งส่วนแบ่งตลาด กำไร และภัยคุกคามด้านความปลอดภัย ขณะที่แบงก์กรุงเทพพลิกวิกฤติ จับมือกลุ่มฟินเทคระดับโลกเสริมแกร่ง

นายบุญเลิศ กมลชนกกุล หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี และหัวหน้าสายงานธุรกิจการเงินและการธนาคาร บริษัท PwC ประเทศไทย (ไพร์ซ วอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์-พีดับบลิวซี) เปิดเผยรายงาน Customers in the spotlight : How FinTech is reshaping banking สำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูง ที่เชี่ยวชาญด้านการเงินและเทคโนโลยีจำนวน 163 รายจาก 46 ประเทศว่า หลังจากที่กระแสการตื่นตัวด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน หรือฟินเทค (FinTech) เข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการเงินทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการธนาคารพาณิชย์ต่างกังวลว่าจะสูญเสียฐานลูกค้ารายย่อยให้แก่ธุรกิจฟินเทคโดยผลสำรวจพบว่า 73% ของผู้บริหารเชื่อว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า สายงานธุรกิจเพื่อลูกค้ารายย่อย (Consumer Banking) จะเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวและได้รับผลกระทบมากที่สุด

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารที่ตอบแบบสอบถามถึง 76% ยังยอมรับว่า ธุรกิจของตนมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียผลประโยชน์ให้แก่ฟินเทค โดยมองว่า ส่วนแบ่งทางการตลาด, แรงกดดันด้านอัตรากำไรขั้นต้น และภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว เป็นความเสี่ยงสามอันดับแรกที่กังวล

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ฟินเทคสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้ารายย่อยได้ดีกว่าธนาคาร เพราะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินให้แก่ลูกค้าได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคาร โดยฟินเทคนำเสนอโซลูชั่นทางเลือกที่คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก ตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายย่อย ที่ส่วนใหญ่มีอำนาจการต่อรองน้อย หรือในบางกรณีที่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้เท่าที่ควร “วันนี้นอกจากแบงก์จะต้องแข่งขันกันเองแล้ว ยังต้องปรับตัวกับการเข้ามาของผู้เล่นฟินเทคหน้าใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีกว่า”

จากแนวโน้มการเข้ามาของบรรดาฟินเทคและสตาร์ตอัพ (Start-up) ที่เพิ่มมากขึ้นในระบบ ทำให้ธนาคารต่างๆเริ่มปรับรูปแบบและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยหันมาเป็นพันธมิตรกับธุรกิจฟินเทคมากขึ้น โดยจากผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการธนาคารถึง 42% จับมือและจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน เพื่อลงทุนในบริษัทฟินเทค

ทั้งนี้ แม้บรรดาธุรกิจฟินเทคจะมีจุดแข็งด้านการพัฒนานวัตกรรมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงเชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแบบไร้รอยต่อ แต่ยังขาดระบบการรักษาความปลอดภัยด้านไอที (IT Security) ความเข้าใจด้านกฎระเบียบและการกำกับดูแล อีกทั้งการได้มาซึ่งแหล่งเงินทุน ขณะที่ธนาคารมีโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่เพียบพร้อมกว่า ซึ่งการร่วมมือกันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับทั้งสองฝ่ายได้

ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่า 71% ของผู้บริหารยังประเมินว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ลูกค้ากว่า 60% จะหันมาใช้บริการทางการเงินผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถืออย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง และมากกว่า 90% คาดว่าอัตราการเติบโตของการใช้บริการผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือในกลุ่มแบงก์ จะสูงกว่าธุรกิจบริการทางการเงินประเภทอื่นๆ

วันเดียวกัน (30 ส.ค.) นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตร R3 (R3 Consortium) ซึ่งเป็นการร่วมตัวของพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทคที่มีสถาบันการเงินชั้นนำของโลกกว่า 55 แห่งเป็นสมาชิก เพื่อการให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ หรือที่เรียกว่า Distributed Ledger (รายการเดินบัญชี) รวมทั้งร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรม แอพพลิเคชั่น และเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ รองรับอนาคต.

 

Leave a comment