ขาดอายุความหรือยัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05116150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

ฎีกาชาวบ้าน

โอภาส เพ็งเจริญ o-pas@matichon.co.th

ขาดอายุความหรือยัง

คุณจำนูญกู้ยืมเงินคุณโผง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2536, ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2538

ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2538, ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2539 และ ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2539

โดยในสัญญาตกลงว่า คุณจำนูญผู้กู้ จะชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมด คืนให้แก่คุณโผงผู้ให้กู้ทันทีเมื่อคุณจำนูญไม่มีความจำเป็นในการใช้เงิน โดยบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน หรือคุณโผงผู้ให้กู้ทวงถาม โดยบอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน เช่นกัน

ต่อมาคุณโผงและคุณจำนูญตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว คือ

วันที่ 1 เมษายน 2538 เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ตามสัญญากู้ยืมเงิน ครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2536

วันที่ 28 ธันวาคม 2544 เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน ครั้งที่ 2 ฉบับลงวันที่ 28 เมษายน 2538, ครั้งที่ 3 ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2538, ครั้งที่ 4 ฉบับลงวันที่ 26 มกราคม 2539 และ ครั้งที่ 5 ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2539

วันที่ 28 ธันวาคม 2545 เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงิน ทุกฉบับอีกครั้ง

ต่อมา วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 คุณโผงผู้ให้กู้ มีหนังสือถึงคุณจำนูญขอให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญากู้

คุณจำนูญได้รับหนังสือ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 แต่คุณจำนูญยังไม่คืนเงิน

คุณโผงมีหนังสือทวงถามอีก 3 ครั้ง ลงวันที่ 3 ธันวาคม 2550, วันที่ 4 มกราคม 2551 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551

คุณจำนูญได้รับหนังสือทวงถามทุกครั้ง แต่ยังไม่ยอมคืนอีกเช่นเคย

คุณโผงนำคดีไปฟ้องศาลขอให้บังคับคุณจำนูญคืนเงินและดอกเบี้ยมา

คดีสู้กันมาถึงศาลฎีกา โดยฝ่ายคุณจำนูญต่อสู้ว่า คดีขาดอายุความแล้ว

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

เห็นว่า สิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงิน กฎหมายมิได้บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 193/30 ส่วนดอกเบี้ยค้างชำระอันเกิดจากสัญญากู้ยืมเงิน ย่อมมีอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 193/33 (1)

แต่อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ตามมาตรา 193/12

เมื่อปรากฏว่าหนังสือกู้ยืมเงินทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวไม่มีกำหนดเวลาให้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยกันไว้ โดยมีข้อตกลงเพียงว่า เมื่อผู้กู้ต้องคืนเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ ให้ผู้ให้กู้บอกกล่าวล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน ดังนั้น ตราบใดที่ผู้ให้กู้ยังไม่ได้บอกกล่าวทวงถามให้ผู้กู้ชำระหนี้เงินและดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ

เมื่อคุณโผงมีหนังสือลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 ส่งไปยังคุณจำนูญ ขอให้ชำระหนี้และบอกเลิกสัญญากู้ยืมเงิน คุณจำนูญรับแล้ว ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวทวงถามให้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ซึ่งครบกำหนดคุณจำนูญต้องชำระเงินภายใน 15 วัน คือ ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2550 อายุความจึงเริ่มนับถัดจากวันดังกล่าว

เมื่อคุณโผงฟ้องคดีนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2551 ยังไม่พ้นกำหนดอายุความ 10 ปี สำหรับเรียกร้องเงินต้น และ 5 ปี สำหรับสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยค้างชำระตามสัญญากู้ยืมเงิน

คดีไม่ขาดอายุความ

เมื่อคดีไม่ขาดอายุความ มีรึที่คุณจำนูญจะรอด

(เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21802/2556)

———————————————-

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/12 อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใด ให้เริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น

มาตรา 193/30 อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา 193/33 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความห้าปี

(1) ดอกเบี้ยค้างชำระ

(2) เงินที่ต้องชำระเพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ

(3) ค่าเช่าทรัพย์สินค้างชำระ เว้นแต่ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา 193/34 (6)

(4) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบำนาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่นๆ ในลักษณะทำนองเดียวกับที่มีการกำหนดจ่ายเป็นระยะเวลา

(5) สิทธิเรียกร้อง ตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไม่อยู่ในบังคับอายุความสองปี

เรื่อง -ฟักข้าว : ไม้เถา มีสรรพคุณยา

คอลัมน์ -ปลูกต้นไม้จากหนังสือ

โดย -สุวรรณ พันธุ์ศรี

ก็คงจะรู้ผลกันแล้วสำหรับช่วงสงกรานต์ปีนี้ ว่ายอดอุบัติเหตุมากน้อยแค่ไหน

ถึงน้ำจะน้อย แต่ยอดตายก็หาได้น้อยไปด้วย

เมาแล้วซิ่ง ก็ยังครองความเป็นอันดับต้นต้น

หลายปีมานี้ เท่าที่เฝ้าดูพฤติกรรมของผู้คนก็จะเห็นว่าเปลี่ยนไปมาก

อย่างหนึ่งที่เห็นคือความเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ความเห็นแก่ตัวก็มากขึ้น

ความเอื้อเฟื้อ ความเห็นอกเห็นใจ ที่สังคมส่วนใหญ่เคยมีต่อกันก็หดหายไปกับสิ่งที่เรียกว่า “ความเจริญ”

ยิ่งเวลานี้เข้าสู่ “สังคมก้มเขี่ย” ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างอยู่

แม้กระทั่งวิถีครอบครัว ความผูกพันก็ดูจะห่างเหินปฏิสัมพันธ์กันน้อยลงไปด้วย

มีงานวิจัยเกี่ยวกับครอบครัวไทยสมัยใหม่ว่า เวลานี้ ความอบอุ่น ผูกพัน มีน้อยจนน่าใจหาย

วิถีชีวิต พ่อ แม่ ลูก ไปกันคนละทิศคนละทาง

ส่งผลถึงนิสัยใจคอของผู้คน มีแนวโน้มก้าวร้าวมากขึ้นตามไปด้วย

งานวิจัยไม่ได้บอกว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร

เห็นทีทุกคนจะต้องหาทางออกกันเอาเอง

ทางหนึ่งที่จะแนะนำคือ พ่อ แม่ ลูก หาเวลาไปปลูกต้นไม้ด้วยกัน จะปลูกที่ไหนก็ได้

ปักษ์นี้จึงอยากชวนปลูกไม้เถาเลื้อย ชื่อ “ฟักข้าว”

ฟักข้าว เป็นไม้เถาที่เลื้อยเกาะไปกับต้นไม้อื่น หรือตามร้านที่สร้างให้

ลักษณะเถาเป็นสี่เหลี่ยมขนาดเท่าข้อมือ สีเขียวเข้ม มีข้อเถา

ใบของฟักข้าวจะเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตามข้อต้น ใบจะมี 3 แฉก โตขนาดเท่าฝ่ามือ ปลายแฉกแต่ละแฉกจะแหลม ใบค่อนข้างหนาทึบ

เมื่อเจริญเติบโตได้ระยะหนึ่งก็จะออกดอก ดอกของฟักข้าวจะออกเป็นดอกเดี่ยวคล้ายดอกตำลึง มี 5 กลีบ สีขาวอมเหลือง

พอดอกเริ่มโรยก็จะติดผล ผลของฟักข้าวจะมีลักษณะกลม ขนาดลูกมะขวิด หรือมะตูม และมีหนามรอบผล

ผลเมื่อยังอ่อนมีสีเขียว เด็ดเอามากินได้

แต่เมื่อผลแก่จะเป็นสีแดง หรือสีเหลือง กินไม่ได้

และคนโบราณท่านก็เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าที่จะใช้ประโยชน่จากต้นฟักข้าว

จนกระทั่งรู้ว่า ราก เมล็ด และใบ มีสรรพคุณทางยารักษาโรคได้

ราก มีรสเย็น สรรพคุณแก้พิษไข้ทุกชนิด และถอนพิษต่างต่าง

เมล็ด มีสรรพคุณบำรุงปอด และแก้วัณโรค

ใบ มีสรรพคุณดับพิษ และถอนพิษทุกชนิด

นี่คือประโยชน์ที่ได้จากการปลูกเถาฟักข้าว

และถ้าได้ไปปลูกกันเป็นครอบครัว ก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นอีก นั่นคือ

ความอบอุ่น และความรัก

Leave a comment