จับกระแสตลาดมะม่วง ผ่านมุมมอง “อาจารย์ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05052150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

รายงานพิเศษ มะม่วงส่งออก ยังไม่ถึงทางตัน

สาวบางแค 22

จับกระแสตลาดมะม่วง ผ่านมุมมอง “อาจารย์ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์”

มะม่วง เป็นไม้ผลที่มีศักยภาพสามารถปลูกได้เกือบทุกภาคของประเทศ เป็นผลไม้เขตร้อนที่ปลูกมากที่สุด เป็น อันดับ 2 ของโลก และปลูกมากที่สุดในประเทศไทย ก่อนหน้านี้กรมส่งเสริมการเกษตร สำรวจพบว่า ทั่วประเทศมีกลุ่มผู้ผลิตมะม่วง 92 กลุ่ม ส่วนใหญ่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชน กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ 31 จังหวัด โดยแหล่งใหญ่ที่มีการรวมกลุ่มผู้ผลิตมะม่วงมากที่สุด ได้แก่ เลย เชียงใหม่ ฉะเชิงเทรา ขอนแก่น พิษณุโลก และอ่างทอง

กรมส่งเสริมการเกษตร จึงสนับสนุนให้ผู้ผลิตมะม่วงแต่ละกลุ่มเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ จนกระทั่งรวมตัวเป็นสมาพันธ์ชาวสวนมะม่วงแห่งประเทศไทย ในปี 2548 ก่อนจะรวมตัวจดทะเบียนในนาม ” สมาคมชาวสวนมะม่วงไทย (ส.ม.ท.)” เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 โดย คุณมานพ แก้ววงษ์นุกูล ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมเป็นคนแรก ครองตำแหน่ง 2 สมัยซ้อน

ต่อมา อาจารย์ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนายกสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย คนที่ 2 (ปี 2557-2559) ล่าสุด เมื่อ วันที่ 24-25 มีนาคม 2559 ทางสมาคมได้จัดสัมมนารวมพลคนมะม่วง พร้อมประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2558 ที่ประชุมได้ลงมติแต่งตั้งให้ คุณมนตรี ศรีนิล เป็นนายกสมาคมชาวสวนมะม่วงไทยคนใหม่ (ปี 2559-2561)

ในฉบับนี้ ผู้เขียนมีโอกาสพูดคุยกับ “อาจารย์ศิลป์ชัย ตระกูลทิพย์” อดีตนายกสมาคมชาวสวนมะม่วงไทย ปัจจุบันเป็นประธานชมรมผู้ปลูกมะม่วงอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เกี่ยวกับผลการดำเนินงานของสมาคมในช่วงเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งวิเคราะห์แนวโน้มตลาดส่งออกมะม่วงไทยในอนาคต

ภาพรวมการผลิตมะม่วงของไทย

ปัจจุบัน มะม่วงที่ปลูกเชิงการค้ามีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งมะม่วงพันธุ์ไทย มะม่วงสายพันธุ์ต่างประเทศ (จินหวง ของไต้หวัน, อาร์ทูอีทู ของออสเตรเลีย, แก้วขมิ้น ของกัมพูชา) และมะม่วงพันธุ์ลูกผสม (มหาชนก) สำหรับมะม่วงพันธุ์ไทยส่วนใหญ่มีผลผลิตในช่วงฤดู (เมษายน-พฤษภาคม) ส่วนมะม่วงล่าฤดู โดยการจัดการคือ มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง สำหรับมะม่วงและผลิตภัณฑ์มะม่วงเพื่อการส่งออกในปัจจุบัน ได้แก่ ผลสด (น้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้ เบอร์ 4 มหาชนก เขียวเสวย ฯลฯ) มะม่วงแช่เยือกแข็ง (น้ำดอกไม้สีทอง น้ำดอกไม้ เบอร์ 4) มะม่วงกระป๋อง (มหาชนก โชคอนันต์)

ปัจจุบัน เกษตรกรไทยประสบความสำเร็จในการผลิตมะม่วงเข้าสู่ตลาดทุกเดือนตลอดทั้งปี มีการรวมกลุ่มชาวสวนที่อยู่ในบริเวณเดียวกันหรือใกล้เคียง และมีผลผลิตเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาเดียวกัน คือกลุ่มที่ผลิตมะม่วงในฤดู (เก็บเกี่ยว เมษายน-พฤษภาคม) กลุ่มที่ผลิตมะม่วงล่าฤดู (เก็บเกี่ยว มิถุนายน-กรกฎาคม) กลุ่มที่ผลิตมะม่วงนอกฤดู (เก็บเกี่ยว สิงหาคม-มีนาคม) กลุ่มที่ผลิตมะม่วงนอกฤดูแบบต้นฤดู (เก็บเกี่ยว มกราคม-มีนาคม) และกลุ่มที่ผลิตมะม่วงนอกฤดูแบบหลังฤดู (สิงหาคม-ธันวาคม) ซึ่ง “ราคา” เป็นปัจจัยสำคัญที่จูงใจให้เกษตรกรชาวสวนผลิตมะม่วงออกมาในแต่ละรุ่น

ทุกวันนี้ เปอร์เซ็นต์การผลิตมะม่วงนอกฤดูของชาวสวนมะม่วงเริ่มมีสัดส่วนที่เยอะขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ใดมีแหล่งน้ำสมบูรณ์ บวกกับเกษตรกรมีความรู้ ความสามารถ ในการผลิตมะม่วงนอกฤดูที่เพียงพอ เกษตรกรส่วนใหญ่มักเลือกตัดสินใจที่จะผลิตมะม่วงนอกฤดูเป็นหลัก โดยแบ่งจัดสรรพื้นที่ผลิตมะม่วงนอกฤดูตามความเหมาะสมของแหล่งน้ำและศักยภาพทางการเงิน ส่วนใหญ่จะทยอยผลิตมะม่วงนอกฤดูเป็นหลายแปลง ซึ่งแต่ละแปลงมีระยะเวลาทำมะม่วงนอกฤดูห่างกัน ประมาณ 1 เดือน เพื่อให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดตลอดทั้งปี

โดยทั่วไป การผลิตมะม่วงนอกฤดูมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูง เฉลี่ยประมาณ 60% ของราคาที่ขายได้ คือ 120 บาท ต่อกิโลกรัม เมื่อหักต้นทุนค่าใช้จ่ายแล้ว ก็ถือว่าได้ผลกำไรคุ้มค่ากับการลงทุน หากผลิตมะม่วงก่อนหรือหลังฤดู สัดส่วนต้นทุนและผลกำไรจะเหลืออย่างละครึ่ง ลงทุน 50 อาจได้ผลกำไร 50

สถานการณ์ผลผลิตมะม่วงในปีนี้

ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการสมาคมได้จัดประชุมสัญจรหลายครั้ง โดยหยิบยกประเด็นปัญหาเรื่องการผลิตมะม่วงของสมาชิกขึ้นมาพูดคุยพร้อมแจกแบบสอบถามให้ ประธานกลุ่มผู้ผลิตมะม่วง จำนวน 40 กลุ่ม ได้กรอกข้อมูลการผลิตมะม่วงของเกษตรกรที่เป็นสมาชิก จนกระทั่งกลางเดือนธันวาคม 2558 ในวาระการประชุมสัญจรคณะกรรมการที่จังหวัดสระแก้ว ได้ข้อสรุปว่า

ปัจจุบัน สมาคมมีสมาชิก จำนวน 1,631 คน มีพื้นที่ปลูกมะม่วง 50,106 ไร่ คิดเป็น จำนวน 2,267,496 ตัน แบ่งเป็นสายพันธุ์มะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง จำนวน 1,000,014 ต้น พันธุ์น้ำดอกไม้ เบอร์ 4 จำนวน 474,980 ต้น ที่เหลือเป็นสายพันธุ์อื่นๆ จำนวน 791,502 ต้น โดยมีผลผลิตเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี ประมาณ 42,914 ตัน โดยเดือนมีนาคม คาดว่าจะมีผลผลิตเข้าตลาดถึง 9,800 ตัน และเดือนเมษายน 2559 จะมีผลผลิตเข้าตลาดมากที่สุด คือ 10,000 ตัน ส่วนช่วงเดือนกันยายน 2559 จะมีผลผลิตเข้าตลาดน้อย คือ 400 ตัน และเดือนตุลาคมจะมีผลผลิตเข้าตลาดน้อยที่สุด คือ 120 ตัน

“ฝนฟ้าอากาศไม่เป็นใจ” อุปสรรคสำคัญในการทำงาน

ในปี้ชาวสวนมะม่วงทั่วประเทศ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำงาน เพราะผลกระทบจากภาวะอากาศร้อน ฝนแล้ง ฝนฟ้าอากาศไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทำให้สวนมะม่วงส่วนใหญ่ที่ปลูกโดยอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก สวนบางแห่งเจอปัญหาต้นมะม่วงได้รับอาหารและสารแพคโคลบิวทราโซลไม่เต็มที่ เมื่อเวลากระตุ้นให้มะม่วงออกดอกในเวลาที่ต้องการ ปรากฏว่า ต้นมะม่วงออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอกเลย

ขณะที่สวนมะม่วงบางพื้นที่เจอฝนตกหนัก หลังจากเจอภัยแล้งมายาวนาน ต้นมะม่วงที่จะแทงช่อดอกออกมา กลับกลายเป็นแตกใบอ่อนออกมาแทน เกษตรกรต้องเริ่มทำการเตรียมต้น บำรุงให้ปุ๋ยกันใหม่ ต้องยอมรับว่า ปัญหาภาวะอากาศแปรปรวนตลอดปีนี้ ทำให้ต้นมะม่วงรวนไปหมด มีทั้งที่ไม่ออกดอก หรือออกดอกออกใบปนกันไปหมด ถือว่า การทำมะม่วงนอกฤดูปีนี้ ทำได้ยากขึ้น และมีผลผลิตน้อยมาก

แต่สวนมะม่วงที่มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับใช้ดูแลให้น้ำ ก็ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ จึงอยากให้เพื่อนสมาชิกหรือเกษตรกรหน้าใหม่ที่อยากทำสวนมะม่วงเป็นอาชีพ ให้ความสำคัญกับการลงทุนทำแหล่งน้ำในสวนมะม่วงกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ในอนาคต ผมมองว่า การทำสวนมะม่วงนอกฤดูให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำสวนมะม่วงกับเกษตรกรชาวสวนมะม่วงมืออาชีพ นอกจากนี้ ควรมีอุปนิสัยช่างสังเกตสภาพแวดล้อม ใส่ใจด้านรายละเอียดในการทำงาน เรียนรู้หลักการตลาด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะช่วยให้ชาวสวนมะม่วงประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพได้อย่างยั่งยืน

จัดโซนนิ่งระบบ “สมัครใจ” เพื่อขายผลผลิตในราคาสูง

ที่ผ่านมาทางสมาคมได้ดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ คือ

1. ขยายจำนวนสมาชิกสมาคมให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ผลิตมะม่วงทั่วประเทศ

2. เชื่อมโยงแหล่งจำหน่ายปัจจัยการผลิต เช่น สารพาโคลบิวทราโซล ฯลฯ ให้แก่สมาชิกสมาคมในราคาถูก เพื่อลดต้นทุนการผลิต

3. จัดให้มีระบบการสื่อสารถึงกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป็นกลุ่มไลน์สมาคม

4. จัดทำฐานข้อมูลการผลิต การตลาด เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตตกต่ำในช่วงฤดูการผลิต

จังหวัดพิจิตร-เพชรบูรณ์ เป็นแหล่งใหญ่ที่ปลูกมะม่วง เนื้อที่รวมกันกว่า 2 แสนไร่ โดยมีผลผลิตเข้าตลาดช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ขายผลผลิตในราคา กิโลกรัมละ 60-70 บาท ใครๆ ก็อยากขายผลผลิตได้ราคาแพงเหมือนกับ จังหวัดขอนแก่น ที่ผลิตมะม่วงนอกฤดู เข้าตลาดในช่วงเดือนสิงหาคม ในราคาขาย กิโลกรัมละ 120 บาท

ปีที่ผ่านมาทางสมาคมมีนโยบายจัดโซนนิ่ง โดยอาศัยความสมัครใจของสมาชิก ที่เห็นผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง โดยแนะนำให้สมาชิกทดลองแบ่งพื้นที่ปลูกสัก 10-30 ไร่ มาผลิตมะม่วงนอกฤดูในช่วงเวลาดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ประมาณ 5% ของพื้นที่ทั้งหมด ทำให้ผลผลิตมะม่วงของ พิจิตร-เพชรบูรณ์ ช่วงเดือนกุมพันธ์-มีนาคม เหลือแค่ 95% ส่วนอีก 5% ผลิตเป็นมะม่วงนอกฤดู (กรกฎาคม-สิงหาคม) นี่คือ วิธีการจัดโซนนิ่งแบบสมัครใจที่ได้ผลดี

ตอนนี้ทางสมาคมได้ขยายผลโครงการโซนนิ่งระบบ “สมัครใจ” เพื่อขายผลผลิตในราคาสูงไปยังจังหวัดต่างๆ โดยจัดทำในรูปปฏิทินการเก็บเกี่ยวผลผลิตมะม่วงของกลุ่มชาวสวนทั่วประเทศว่า จะมีผลผลิตในฤดูและนอกฤดู ในช่วงเดือนไหนบ้าง การจัดโซนนิ่งดังกล่าวทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตที่เป็นระบบและได้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้น

ผมมองว่า นโยบายดังกล่าวเป็นการจัดระบบข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็น ช่วยให้ทุกฝ่ายทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อรู้แผนการผลิตมะม่วงที่ชัดเจนแล้ว ทางสมาคมก็เชิญผู้ส่งออก เช่น บริษัท สวิฟท์ บริษัท สยาม เอ็กซ์สปอร์ต มาร์ท ฯลฯ เข้ามาคุยว่า สมาชิกสมาคมมีผลผลิตในช่วงนี้ ปริมาณเท่านี้ ผู้ส่งออกต้องการรับซื้อผลผลิตสักกี่ตัน เพื่อจะทำสัญญาข้อตกลงกับสมาคมผู้ส่งออกก็ทำงานได้อย่างสบายใจ เพราะรู้ว่าจะมีผลผลิตส่งออกตามเป้าหมายที่วางไว้

ต่างประเทศมีความต้องการบริโภคมะม่วงไทยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากตัวเลขการส่งออกมะม่วงไทยที่เพิ่มขึ้นทุกปี ปี 2558 ไทยมีปริมาณการส่งออก จำนวน 65,423 ตัน มูลค่า 3,150 ล้านบาท แม้วันนี้ ประเทศเพื่อนบ้านจะผลิตมะม่วงส่งออกเช่นกัน แต่มีเทคโนโลยีการผลิตมะม่วงล้าหลังไทยอยู่ ขอเพียงเกษตรกรรักษาจุดแข็ง คือผลิตมะม่วงที่มีคุณภาพดีป้อนตลาดส่งออก ผมเชื่อว่า มะม่วงไทยยังคงเติบโตในเวทีตลาดโลกได้ต่อเนื่อง

Leave a comment