ส้มโอปูโก ของดี ยะรัง ปัตตานี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05043150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

เทคโนโลยีการเกษตร

เลิศพงษ์ กันภัย

ส้มโอปูโก ของดี ยะรัง ปัตตานี

เมื่อพูดถึง ส้มโอ หลายคนคงนึกถึงส้มโอพันธุ์ทองดี ขาวน้ำผึ้ง ขาวแตงกวา

น้อยคนที่จะทราบว่ายังมี ส้มโอพันธุ์ปูโก เป็นสายพันธุ์พื้นเมือง อยู่ที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ซึ่งขณะนี้มีการผลักดันให้เป็นผลไม้เด่น คุณภาพดี สร้างชื่อเสียงของจังหวัดปัตตานีอีกด้วย

จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน คำว่า “ปูโก” มีความหมายว่า “ประทับตรา”

ชาวจีนนำส้มโอพันธุ์พื้นเมืองของชาวยะรังไปไหว้เจ้า โดยมีการประทับตราไว้บนผล ซึ่งบ่งบอกถึงมีคุณค่า มีคุณภาพดีจากนั้นชาวมุสลิม จึงตั้งชื่อส้มโอดังกล่าวว่า “ปูโก”

เดิมทีการปลูกส้มโอของเกษตรกรนิยมปลูกกันในสวนหลังบ้าน จำนวนบ้านละไม่กี่ต้น ทำให้ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ต่อมาสำนักงานเกษตรอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ได้เข้ามาส่งเสริมให้ความรู้ ทำให้ส้มโอปูโกมีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด

จากที่ ส้มโอปูโก ในอดีตเคยถูกมองข้าม ไม่ได้รับการบำรุงดูแล จนมีผู้นำไปปลูกต่างพื้นที่

ในวันนี้ส้มโอในท้องถิ่นกำลังได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้กลับมาสร้างชื่อเสียงให้กับอำเภอยะรังอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายให้เป็นผลไม้เด่น ดี มีคุณภาพ ของจังหวัดปัตตานี ภายใต้ชื่อใหม่ว่า “ปูโกเพชรยะรัง”

ลักษณะประจำพันธุ์ส้มโอพันธุ์ปูโก

ทรงพุ่ม…ลักษณะทรงพุ่มเหมือนส้มโอพันธุ์อื่นๆ ทั่วๆ ไป มีขนาดปานกลาง เนื่องจากขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 4-5 เมตร และความสูงประมาณ 5-5 เมตร

ลักษณะใบ…ส้มโอพันธุ์ปูโกจะมีลักษณะใบค่อนข้างยาวรี กลางใบจะกว้าง ส่วนของยอดจะใหญ่มีขนปกคลุม ปลายใบจะมีลักษณะแหลม เมื่อหงายดูใต้ใบจะมีขนเล็กๆ ปกคลุมทั่วทั้งใบ เมื่อจับดูขนจะมีลักษณะนุ่มคล้ายกำมะหยี

ลักษณะผล…ส้มโอพันธุ์ปูโก เมื่อผลโตเต็มที่พร้อมที่จะเก็บเกี่ยวตามอายุจะมีสีผิวสีเขียวนวลอมเหลือง ส่วนบนจะมีจุกคล้ายส้มโอพันธุ์ขาวพวง บริเวณผิวผลจะมีขนเล็กๆ ปกคลุมทั่วทั้งผล ขนจะอ่อน นุ่ม เมื่อจับดูจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กำมะหยี่ บริเวณจุดกึ่งกลางก้นของผล เมื่อสุกแก่เต็มที่จะมีจุดสีน้ำตาลเข้ม และขนบริเวณก้นประมาณครึ่งลูกจะหายไป ซึ่งสามารถแบ่งขนาดของผลส้มโอได้ ดังนี้

เส้นรอบวง มากว่า 25 เซนติเมตร เรียกว่า ขนาดจัมโบ้

เส้นรอบวง ระหว่าง 20-25 เซนติเมตร เรียกว่า เบอร์ 1

ส้นรอบวง ระหว่าง 18-20 เซนติเมตร เรียกว่า เบอร์ 2

เส้นรอบวง ระหว่าง 18 เซนติเมตร เรียกว่า เบอร์ 3

ลักษณะภายในผล…เมื่อตัดขวางผลส้มโอจะเห็นว่าผิวเปลือกค่อนข้างบาง ผนังกลีบจะมีลักษณะสีขาวอมชมพู มีเมล็ดค่อนข้างมากเรียงชิดแกนผล เนื้อกุ้งเล็กๆ จะทับซ้อนกันหลายชั้น มีสีชมพูเข้มคล้ายสีทับทิมจนถึงสีแดง รสชาติหวาน หอมและนุ่ม

การเตรียมกิ่งพันธุ์

ควรคัดเลือกกิ่งพันธุ์ที่ปลอดโรค โดยคัดเลือกกิ่งจากต้นที่มีความแข็งแรง ควรเป็นกิ่งที่ตั้งขึ้นแล้วขยายพันธุ์โดยการตอน และเมื่อสังเกตเห็นระบบรากมีความหนา แน่น และมีสีเขียวแกมน้ำตาล สามารถตัดกิ่งตอนไปปลูกได้เลย หรือนำไปชำไว้ในถุงพลาสติกใสก่อนก็ได้ ประมาณ 1 เดือน ถึง 1 เดือนครึ่ง ก่อนนำไปปลูกในแปลง

วิธีการปลูกส้มโอพันธุ์ปูโก

ส้มโอพันธุ์ปูโก สามารถปลูกได้ในที่ดอน หรือในที่ลุ่มไม่มีน้ำท่วมขัง หรือในที่ลุ่มโดยการยกร่อง ลักษณะของดินที่ชอบจะเป็นดินร่วน เหนียว มีความอุดมสมบูรณ์สูง ระบายน้ำได้ดี มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ระหว่าง 5.5-6.0 มีน้ำเพียงพอตลอดปี ควรเป็นแหล่งน้ำที่มีน้ำสะอาดปราศจากสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ที่มีพิษปนเปื้อน มีการกระจายตัวของฝนสม่ำเสมอ ชอบแสงแดดจัด ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่สำคัญคือ ต้องการแคลเซียม (Calcium) และแมกนีเซียม (Magnecium) สูง เพราะจะทำให้ส้มโอมีรสชาติหวานเข้ม การปลูกควรวางต้นพันธุ์ส้มโอลงในหลุมพอประมาณ อย่าให้หลุมลึกเกินไป แล้วใช้มีดคมๆ กรีดจากก้นถุงถึงปากถุง (กรณีชำถุง) แล้วดึงถุงพลาสติกออก ระวังอย่าให้ดินในถุงแตก กลบดินที่ผสมแล้วพูนโคนต้น กดดินบริเวณรอบโคนต้นให้แน่น แล้วปักไม้หลักพร้อมผูกเชือกเพื่อป้องกันการโยกคลอนเมื่อลมพัด คลุมดินบริเวณโคนต้นด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง แล้วรดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นเพื่อป้องกันแสงแดดจัด ควรทำร่มเงาในช่วงแรกประมาณ 1-2 เดือน ก่อนต้นพันธุ์จะตั้งตัวได้

ระยะปลูก…สำหรับการปลูกส้มโอพันธุ์ปูโกในพื้นที่ที่เป็นที่ดอน ควรใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถว 8×8 เมตร หรือ 6×6 เมตร แต่ถ้าปลูกในที่ลุ่ม ซึ่งน้ำไม่ท่วมขัง หรือในที่ลุ่มโดยการยกร่อง ควรใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและระหว่างแถว 6×6 เมตร

การขุดหลุมปลูก…การขุดหลุมปลูกส้มโอพันธุ์ปูโก ไม่จำเป็นต้องขุดหลุมให้ลึก แต่ควรจะผสมดินที่ได้จากการขุดหลุมกับปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว ประมาณ 3-5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อกฟอสเฟต ประมาณ 300-500 กรัม ต่อหลุม แล้วคลุกเคล้าเข้าด้วยกันเพื่อให้รองก้นหลุมก่อนปลูก

วิธีการดูแลรักษาส้มโอพันธุ์ปูโก

การให้ปุ๋ย…ส้มโอพันธุ์ปูโก เมื่ออายุ 1 ปี จะเป็นช่วงที่รากเริ่มงอก ควรบำรุงรักษาโดยการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี โดยเฉพาะปุ๋ยเคมี ควรให้ปุ๋ยเคมี สูตร 21-0-0 ผสมกับปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 สัดส่วน 1:1 ในอัตราส่วน 200 กรัม ต่อต้น โดยแบ่งใส่ประมาณ 3 เดือน ต่อครั้ง สลับกับการใช้ปุ๋ยคอกหรือชีวภาพ และเมื่อส้มโอมีอายุ 2-3 ปี ก็ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรดังกล่าวข้างต้น 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อ 3 เดือน โดยการแบ่งใส่เหมือนเดิม

เมื่อส้มโอมีอายุ 4 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิตในช่วงแรก ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อต้น เพื่อเพิ่มขนาดของผล และก่อนเก็บเกี่ยว ประมาณ 1-2 เดือน ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 13-13-21 อัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อต้น หลังจากนั้น ให้ฉีดพ่นฮอร์โมนโซโลโพแทส (SOLOROTAS) เพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความหวาน และนุ่มน่ารับประทาน หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ควรจะตัดแต่งกิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออก เช่น กิ่งกระโดง กิ่งแห้ง กิ่งที่เป็นโรค กิ่งคดงอ และกิ่งเบียดเสียดออกเพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดส่องเข้าถึงภายในทรงพุ่ม สำหรับการตัดแต่งกิ่งหลังจากตัดแล้วควรทาแผลด้วยปูนขาว หรือปูนแดง หรือสารป้องกันกำจัดเชื้อรา หรือสีน้ำมันเพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลาย

การให้น้ำ…การให้น้ำส้มโอพันธุ์ปูโกเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เนื่องจากส้มโอพันธุ์ปูโกต้องการน้ำสม่ำเสมอพอสมควร ถ้ามีน้ำขังมากเกินไปก็จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบราก อาจจะก่อให้เกิดโรครากเน่า โคนเน่าได้ และถ้าหากขาดน้ำเป็นเวลานานก็จะทำให้ต้นส้มโอแคระแกร็น ระบบรากไม่เจริญเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของผลผลิตไม่ดี ทำให้ผลเล็ก เนื้อกุ้งจะแข็ง และอาจจะทำให้เกิดรสชาติขมได้ ดังนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการให้น้ำแก่ส้มโอควรจะดูสภาพภูมิอากาศและดูคุณสมบัติของดินประกอบด้วย กล่าวคือ เมื่อสภาพภูมิอากาศร้อนและแห้งแล้ง ส้มโอจะมีอัตราการคายน้ำสูง โดยเฉพาะคุณสมบัติของดินที่เป็นดินทราย การอุ้มน้ำไม่ดี ควรให้น้ำวันละครั้งเป็นอย่างน้อย ถ้าหากคุณสมบัติของดินเป็นดินค่อนข้างเหนียว การอุ้มน้ำดี ควรให้น้ำส้มโอสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้น การให้น้ำอาจจะแตกต่างกันออกไป โดยให้สังเกตความชื้นในดินเป็นหลัก ควรให้น้ำแต่พอเหมาะ ไม่ควรมากเกินไปหรือน้อยเกินไป โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของต้นส้มโอที่อายุมากกว่า 4 ปี เพื่อเตรียมการออกดอกโดยการงดให้น้ำ ประมาณ 20-25 วัน เมื่อสังเกตเห็นว่าใบอ่อนเริ่มห่อตัว แสดงว่าส้มโอขาดน้ำรีบให้น้ำทันที แล้วใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 ในอัตรา 2-3 กิโลกรัม ต่อต้น เพื่อกระตุ้นการออกดอกและเมื่อส้มโอเริ่มออกดอก ควรงดให้น้ำเพื่อป้องกันดอกร่วง และเมื่อช่อดอกพัฒนาไปเป็นผล ก็ให้น้ำทีละน้อยไปเรื่อยๆ จนถึงระดับปกติ

วิธีการดูแลรักษาระยะติดผล

ในกรณีที่ส้มโอพันธุ์ปูโกได้พัฒนาผลขึ้นมาเรื่อยๆ เกษตรกรมีความจำเป็นที่จะต้องตัดแต่งกิ่งผล และไว้ผลให้พอเหมาะกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของต้น และควรจะเห็นผลที่มีอาการยางไหล ผลเป็นโรคนำไปเผาไฟหรือไปทำลายนอกแปลง และถ้าหากกิ่งพันธุ์ไม่แข็งแรงควรจะหาไม้ค้ำยันด้วยในระยะติดผลเป็นระยะที่มีความสำคัญมาก เพราะถ้าหากการดูแลรักษาไม่ดีจะได้ผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้น ในระยะติดผลควรจะมีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชทั้งโรคและแมลง โดยการฉีดพ่นสารเคมีชนิดอะบาเม็กติน อย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เมื่อส้มโอดอกตูมขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ และครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก ประมาณ 7 วัน แล้วปล่อยให้ดอกบาน การใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มขนาดของผลอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยการใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ในอัตรา 1.0 กิโลกรัม ต่อต้น ต่อเดือน และเมื่อผลส้มโอโตเต็มที่ก่อนจะเก็บเกี่ยว ประมาณ 1-2 เดือน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 13-13-21 ในอัตรา 1-2 กิโลกรัม ต่อต้น ก็จะทำให้ผลผลิตส้มโอพันธุ์ปูโกมีคุณภาพดี กล่าวคือ ผลโต ผิวสวย ได้ขนาดตามความต้องการของตลาด และรสชาติหวาน นุ่ม น่ารับประทานที่เป็นจุดเด่นของส้มโอพันธุ์ปูโกอีกด้วย

ศัตรูที่พบ

ศัตรูของส้มโอปูโก ไม่ว่าจะเป็นโรคและแมลง จะพบคล้ายๆ กับการปลูกส้มโอที่อื่น ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เน้นให้เกษตรกรป้องกัน

ต้องพบการระบาดมากๆ จึงใช้สารป้องกันกำจัด

ปัจจุบัน มีเกษตรกรปลูกส้มโอพันธุ์นี้ จำนวน 600 ราย พื้นที่ประมาณ 450 ไร่

ผลผลิตซื้อขายกัน ส้มโอเกรดเอ จำหน่าย ผลละ 50-60 บาท

เมื่อพูดถึงส้มโอ หลายคนคงคิดถึงส้มโอภาคกลาง แต่ใครจะรู้บ้างว่า ยังมีส้มโอดี ส้มโอเด่น ในท้องถิ่น อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โทร. (073) 439-090

Leave a comment