เมื่อชีวิตผกผัน นายสถานจึงค้นพบความจริง พลิกฟื้นผืนดินตีนภูพานน้อย ให้คืนสภาพเป็นต้นน้ำและป่าดง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05125150459&srcday=2016-04-15&search=no

วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 621

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

บุญยงค์ เกศเทศ

เมื่อชีวิตผกผัน นายสถานจึงค้นพบความจริง พลิกฟื้นผืนดินตีนภูพานน้อย ให้คืนสภาพเป็นต้นน้ำและป่าดง

คุณสถาน ตุ้มอ่อน เกิดที่บ้านยางคำ ตำบลอุ่มเหม้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 4 คน ของ คุณวาน คุณขัน ตุ้มอ่อน เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ออกจากบ้านยางคำ บวชเณรตั้งแต่อายุ 10 ปี กระทั่งอุปสมบทเป็นพระ ย้ายเข้ามาอาศัยวัดคลองทุ่ม เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร เรียนจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ วัดสิทธิธรรมวิทยา แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงเข้าเรียนต่อคณะคุรุศาสตร์ อยู่ 2 ปี ที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่ต้องลาสิกขาบทก่อนเรียนจบหลักสูตร เนื่องจากล้มป่วย จึงกลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านยางคำ เมื่อปี พ.ศ. 2526 พร้อมกับได้รับมอบมรดกที่ดินทำกิน จำนวน 80 ไร่ จากมารดา ในปี พ.ศ. 2528 ได้สมรสกับคุณวิลัย จากนั้นจึงเริ่มต้นพลิกฟื้นผืนดินทำกิน

คุณสถาน เล่าย้อนอดีตว่า เมื่อ 3 ทศวรรษก่อน ได้จัดการระบบนิเวศและทรัพยากรน้ำผิดทาง เพราะไปถางป่าเพื่อทำไร่ข้าว ตัดไม้จนพื้นที่ราบเตียนหมด ไม่มีน้ำใช้สอย จึงเริ่มเรียนรู้ใหม่ มุ่งให้เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น ตลอดระยะเวลาราว 5 ปี ที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค คิดได้ว่าสาเหตุมาจากการตัดไม้ทำลายป่านั่นเอง จึงหันมาเริ่มฟื้นฟูป่าให้สมบูรณ์ดังเดิม เพื่อให้ต้นไม้เป็นตัวชะลอความแห้งเหือดหายของน้ำ สามารถดูดซับน้ำสำรองไว้ในดินและในต้นไม้ ปล่อยให้ต้นไม้ที่เคยตัด แตกหน่อก่อยอดขึ้นมาใหม่ เพาะเมล็ดปลูกกล้าไม้รุ่นใหม่ จนเต็มพื้นที่ป่าบริเวณเดิม จำนวน 20 ไร่ เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไป จึงพบเห็นว่า ป่าต้นน้ำค่อยๆ ฟื้นคืนให้ ทั้งความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์

คุณสถาน เล่าย้อนอดีตว่า

ป่าต้นน้ำผืนนี้เป็นป่าที่ผมรักสุดหัวใจ ถ้าไม่มีป่านี้ก็ไม่มีน้ำ ผมไม่ยอมให้ใครตัดต้นไม้อีก ได้สอนลูกสอนหลานห้ามปลูกไม้เชิงเดี่ยวเด็ดขาด เพราะเวลาที่ต้นไม้พวกนี้ผลัดใบพร้อมกัน แสงแดดสาดส่องโดนผืนดินส่วนใด พื้นที่ตรงนั้นจะแห้งแล้งมาก

ในความเป็นจริงแล้ว ลักษณะภูมินิเวศของตำบลอุ่มเหม้า เป็นพื้นที่ราบลุ่มสลับที่ดอนลาดเนินไม่สูง คุณสถานจึงบริหารจัดการแบ่งพื้นที่ 80 ไร่ ออกเป็นสัดส่วนตามสภาพดั้งเดิม โดยให้ด้านทิศตะวันตกราว 20 ไร่ เป็นพื้นที่ป่าดงดังเดิม ด้านทิศตะวันออกราว 40 ไร่ ให้คงสภาพเป็นป่าโคก พื้นที่เหลือเป็นแอ่งราบลุ่ม มีร่องน้ำไหล ได้จัดให้เป็นพื้นที่ทำนาปลูกข้าว เพื่อใช้บริโภคอีกราว 8 ไร่ โดยอาศัยน้ำซึมซับออกมาจากพื้นที่ป่าดงที่ฟื้นตัวแล้ว มีการกักเก็บน้ำด้วยระบบ “บ่อน้ำสร้าง” จากป่าโคก

คุณสถาน ยังอรรถาธิบายเพิ่มเติมอีกว่า แต่เดิมครัวเรือนในชนบทพึ่งตนเอง หาอาหารจากป่าหัวไร่ปลายนา แต่ต่อมาระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปในทางเลวร้าย ป่าหายไปเพื่อเป็นพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ ทั้ง อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา แถมยังมีการบุกรุกเข้าไปในป่าสงวนฯ และป่าสาธารณะมากขึ้น ชาวบ้านส่วนใหญ่หันไปพึ่งพิงอาหารใหม่จากตลาดร้านค้าประเภทสะดวกซื้อ และรถเร่ที่เข้ามาขายในชุมชน ความหวงแหนพื้นที่ป่าหัวไร่ปลายนาลดลง หรือหายไปเลยในหลายพื้นที่ จึงควรจัดระบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับวิถีของตนเอง

เป็นต้นว่า กันพื้นที่ส่วนหนึ่งทำนา ทำไร่ ไว้เท่าที่จำเป็น และควรเพิ่มพื้นที่ป่าหัวไร่ปลายนา ปลูกทั้งไม้ใช้สอย ไม้ผล พืชผัก สมุนไพรเสริม ในพื้นที่ที่แบ่งส่วนไว้ ก็อาจเลี้ยงสัตว์ วัว ควาย ไก่ ปลา กบ เขียด ทำให้ได้ปุ๋ยคอก หรือทำปุ๋ยหมักอินทรีย์ ราดรดผักเพื่อการบริโภคได้อย่างปลอดภัย

หากพื้นที่ใดขาดน้ำอุปโภคบริโภค ก็ควรขุดบ่อน้ำสร้างขึ้นมาใช้สอย โดยให้สังเกตดูพื้นที่บริเวณใกล้เคียงต้นไม้ใหญ่น้อยว่า ลักษณะผืนดินเป็นเช่นไร ชุ่มชื้นหรือแห้งผาก หากพิจารณาดูว่าชุ่มชื้นก็ให้ขุดเจาะตรงนั้นดักน้ำไว้ ให้น้ำซึมซับไหลออกมา บ่อน้ำลักษณะนี้มีข้อดีหลายอย่าง แม้ปีใดฝนไม่ตก ดินแตกระแหง แต่บ่อน้ำยังคงทนอยู่ได้ เพราะต้นไม้ข้างเคียงดูดอากาศมาช่วย เราไม่ต้องทำอะไร แต่บริเวณรายรอบบ่อน้ำต้องปลูกไม้ 3 ระดับ เพื่อป้องกันน้ำระเหย

ชั้นแรก ให้มี แหน จอก ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักก้านจอง ผักหลอด ใช้เป็นอาหารของคนและสัตว์ ชั้นสอง ปลูกหญ้าริมน้ำ ปลูกพืชผักสวนครัว รวมทั้งกล้วย มะพร้าว ไผ่ต่างๆ เพราะกล้วยจะช่วยเก็บน้ำ รักษาความชื้นให้ต้นไม้ที่เราปลูก หากมีปุ๋ยคอกใส่ลงก้นหลุม รดน้ำตีให้เป็นโคลน จะช่วยเก็บความชื้นไว้ได้ดีขึ้น ส่วนไม้ไผ่เก็บหมอกได้ดี ใบจะดึงความชื้นจากอากาศตอนกลางคืน รากจะเก็บความชื้นไว้ใต้ดิน ตามขอบสระ ชั้นสาม ปลูกไม้ใช้สอย ไม้ยืนต้นชนิดต่างๆ คลุมดินป้องกันแดดส่องถึงพื้น ช่วยชะลอการระเหยของน้ำได้

อีกทั้งต้องรักษาพืชพันธุ์ไม้ริมนาไว้ ไม่เผา หรือทำลายเศษขยะวัชพืช แต่ให้นำเศษซากไปคลุมหน้าดิน ครั้นเสร็จสิ้นฤดูการทำนาเก็บเกี่ยวแล้ว ให้นำปุ๋ยคอกหว่านลงในน้ำ เพื่อให้เกิดเทา และบ่มดิน รวมถึงการปล่อยวัว ควายเข้าเลี้ยง เพื่อปล่อยมูลเป็นปุ๋ย สัตว์จำพวกงู หนู ตุ่น ปลาไหล ปลา กั้ง มีส่วนช่วยทำให้มีน้ำซึมซับไหลออกมาได้ดี อย่าไปทำลาย

กล่าวได้ว่า ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคุณสถาน เกิดจากความรัก ความสนใจ และแรงบันดาลใจจากวัยเด็ก ที่คลุกคลีกับสภาพพื้นที่บ้านเกิด เห็นตัวอย่างและความเมตตาของผู้ใหญ่ใกล้บ้าน ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งคุณลุงสอน-คุณลุงโสม ได้ช่วยให้คุณสถานเกิดความคิด ผนวกกับความรู้ด้านพุทธเกษตร ที่ได้รับรู้มา ช่วยสร้างเสริมให้ผืนดินเกิดความอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์หลากหลายชนิด ได้สร้างวงจรของระบบนิเวศบนผืนป่าส่วนตัวของคุณสถาน ที่ได้ใส่ภูมิปัญญาและวิธีคิดลงไปบนเงื่อนไขธรรมชาติอย่างเชื่อมโยงและสอดคล้อง

Leave a comment