ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 5 ก.ย. 2559 17:31
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/713223

หุ้นไทยปรับตัวลดลง 28.96 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,492.52 จุด มูลค่าการซื้อขาย 83,872.58 ล้านบาท บลจ.วรรณ มองดัชนีปรับตัวลงลึก หลักๆ มาจากแรงขายทำกำไรหลังหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาก ประเมินกรอบสัปดาห์นี้ 1,480-1,530 จุด แนะให้ติดตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมธนาคารกลางยุโรป 8 ก.ย.นี้
การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยประจำวันที่ 5 ก.ย.59 พบว่าหุ้นไทยปรับตัวลดลง 28.96 จุด เปลี่ยนแปลง -1.90 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,492.52 จุด มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 83,872.58 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก 1.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 2.บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 3.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 4.บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) และ 5.ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวลดลง โดยหลักๆ มองว่า มาจากแรงขายทำกำไรหลังตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้มูลค่าหุ้นไทยเริ่มแพง เมื่อเทียบผ่านระดับ PE กับค่าเฉลี่ยในภูมิภาค โดยปัจจุบัน ณ วันที่ 23/08/2016 ค่า PE ไทยอยู่ที่ 16.29 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 14.98 เท่า ประกอบกับก่อนหน้านี้มีความกังวลของนักลงทุนว่าจะเกิดแรงขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เผชิญกับแรงขายนำในช่วงก่อนหน้า
นอกจากนี้ยังคงมีความกังวลเรื่องธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. 59 แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm Payroll) จะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์และต่ำกว่าเดือนที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งยังเป็นประเด็นที่คงต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะจะส่งผลต่อเม็ดเงินทุนต่างชาติ โดยคาดว่าดัชนี SET ในสัปดาห์นี้มีโอกาสปรับตัวในกรอบ 1,480-1,530 จุด ทั้งนี้ มองว่าหากดัชนีฯ ต่ำกว่าระดับ 1,500 จุด เป็นโอกาสในการทยอยซื้อสะสมในหุ้นไทยเพื่อลงทุนในระยะกลางถึงยาวได้
“ในภาวะที่ตลาดยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยนักลงทุนเริ่มเห็นแตกต่างกัน 2 ทาง คือ มีทั้งส่วนที่คาดว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. นี้และไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ก.ย. 59 ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวน อย่างไรก็ดี ด้วยตลาดที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในการประชุมวันที่ 8 ก.ย. นี้ ยังเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยสนับสนุนตลาดได้บางส่วนซึ่งจะส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบให้เพิ่มขึ้น”
สำหรับราคาน้ำมัน คาดว่าปัจจัยกดดันด้านราคาน้ำมันอาจผ่อนคลายลง เนื่องจากปริมาณการผลิตส่วนเกินน่าจะจำกัดมากขึ้นหลังประเทศรัสเซียเริ่มมีท่าทีเป็นผู้นำในการตรึงกำลังการผลิตในปัจจุบันและประเทศสหรัฐฯ น่าจะปรับลดปริมาณการผลิตลง 5-6 แสนบาร์เรลต่อวัน
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากจะส่งผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯและทิศทางค่าเงินดอลลาร์ฯ เนื่องจากอาจกระทบต่อราคาน้ำมันดิบได้