ชวนมากินผักปลอดภัย ที่กลุ่มปลูกผักอินทรีย์บ้านคูขาด อำเภอศรีณรงค์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05050010559&srcday=2016-05-01&search=no

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 622

รายงานพิเศษ ดูงานเกษตรเมืองช้าง…สุรินทร์

ทะนุพงศ์ กุสุมา ณ อยุธยา

ชวนมากินผักปลอดภัย ที่กลุ่มปลูกผักอินทรีย์บ้านคูขาด อำเภอศรีณรงค์

หมู่บ้านคูขาด เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2420 โดยตั้งชื่อตามสภาพภูมิประเทศของหมู่บ้าน ซึ่งเดิมเคยมีคันคูโบราณ จากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีความยาวประมาณ 1,400 เมตร กั้นหนองน้ำขนาดใหญ่ไว้ พอเข้าสู่ฤดูฝนมีปริมาณน้ำมากเกิน จนทำให้คูโบราณไม่สามารถต้านทานแรงน้ำได้ จนทำให้คันคูขาด ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของชาวบ้านทุกปี จนชาวบ้านเรียกติดปากว่า “คูขาด” พร้อมกับได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านคูขาด” ปัจจุบันหนองคูขาดเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ในการหล่อเลี้ยงทุกชีวิตในหมู่บ้านคูขาดแห่งนี้

ชาวบ้านที่บ้านคูขาดมีอาชีพเกษตรกรรมด้วยการทำนา มีสวนยางพารา และไร่มันสำปะหลัง ในยามว่างจากอาชีพหลักพวกเขาจะร่วมกันปลูกผักพื้นบ้านหลายชนิดแบบอินทรีย์เพื่อไว้รับประทาน โดยใช้พื้นที่ริมหนองน้ำจัดทำเป็นแปลงปลูกผัก ไม่มีการเก็บเงินค่าเช่าที่ปลูกแต่ประการใด ใครชอบรับประทานผักอะไรก็ปลูก แต่มีกติกาเพียงอย่างเดียวคือ ห้ามใช้สารเคมี

ครั้นพอได้ผลผลิตต่างนำมาแลกกัน ปรากฏว่าผักที่ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนปลูกซ้ำชนิดกันจนทำให้ต้องนำไปขายตามหมู่บ้านเพื่อป้องกันความเสียหาย พอชาวบ้านต่างหมู่ทราบว่าเป็นผักปลอดภัย แถมยังขายในราคาถูก ต่างให้ความสนใจแห่ซื้อกันจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง และนี่เองจึงเป็นที่มาของจุดเริ่มต้นแนวคิดการตลาดปลูกผักอินทรีย์ขายของชาวบ้านหมู่บ้านคูขาดแห่งนี้

พื้นที่จำนวนทั้งหมด 10 ไร่ ที่โอบล้อมหนองคูขาด ถูกแบ่งย่อยออกเป็นแปลงเล็ก ขนาดพื้นที่ราว 1 งาน จำนวนหลายแปลง เพื่อให้ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนใช้ปลูกผัก ทั้งนี้ ผักแต่ละชนิดชาวบ้านจะไม่สามารถเลือกปลูกได้ตามใจดั่งเช่นก่อนแล้ว แต่ต้องมีการวางแผนปลูกผักโดยดูจากความเหมาะสมของฤดูกาล รวมถึงความต้องการของตลาดควบคู่ไปด้วย เพื่อจะได้คุ้มค่ากับการลงทุน

ทั้งนี้ สมาชิกกลุ่มจะต้องมาลงชื่อไว้แล้วแจ้งความต้องการว่าจะปลูกผักอะไร จากนั้นจึงมาพิจารณาร่วมกันเพื่อจัดสรรว่าแปลงไหนใครเป็นผู้ปลูกผักชนิดใด ปัจจุบันมีสมาชิกที่ลงชื่อปลูกผักจำนวนทั้งสิ้น 43 ราย แต่ลงมือปลูกกันอย่างจริงจังเพียง 29 ราย ในจำนวนนี้ บางรายทำเกษตรกรรมอยู่กับบ้าน บางรายมีอาชีพเป็นพนักงาน ข้าราชการ ซึ่งแต่ละรายจะต้องปลูกและดูแลผักของตัวเอง โดยได้รับความช่วยเหลือด้านระบบน้ำจากภาคราชการและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น

คุณนุชนาฎ ทองอัม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และ คุณพิทักษ์ บุญเอก ประมงอาสา และสมาชิกกลุ่ม เป็นตัวแทนกลุ่มเพื่อให้รายะเอียดการปลูกผักอินทรีย์ในครั้งนี้

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เผยว่า ที่มาของการปลูกผักอินทรีย์ครั้งนี้เริ่มมาจากการขุดลอกหนองคูขาดให้ลึกเพื่อรองรับน้ำเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และดินที่ขุดขึ้นมาจากหนองได้นำมากองไว้บริเวณด้านข้างรอบหนอง กระทั่งเกิดเป็นความคิดของชาวบ้านร่วมกันเพื่อจะใช้ประโยชน์จากดิน เลยมาสรุปตรงกันว่าควรปลูกพืชผักสวนครัวไว้รับประทานกันดีกว่าจะได้ปลอดภัยต่อสุขภาพ โดยครั้งแรกจะช่วยกันหาบน้ำขึ้นมาจากหนองเพื่อใช้ราดผัก และยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วย

สำหรับแนวทางการปลูกแบบอินทรีย์ คุณพิทักษ์ เล่าว่า ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการทำปุ๋ยหมัก ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากทางศูนย์วิจัยจังหวัดสุรินทร์ได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการทำปุ๋ยหมัก จากนั้นจะต้องไถพรวนดินในแปลงเพื่อตากดินให้แห้ง ทิ้งไว้สัก 1 อาทิตย์

ส่วนปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักที่ใช้นั้น แต่ละครอบครัวต้องทำกันเอง รวมถึงจะต้องมีการบันทึกข้อมูลรายละเอียดของการปลูกพืชชนิดใดด้วยว่ามีระยะเวลาปลูกนานเท่าไร มีการใช้ปุ๋ยชนิดใดในปริมาณเท่าไร ขณะเดียวกัน สมาชิกกลุ่มบางรายเป็นผู้สูงอายุจึงต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านการบันทึกข้อมูลด้วย ทางด้านเมล็ดพันธุ์บางส่วนได้รับการสนับสนุนจากภาคราชการ แต่บางชนิดต้องซื้อเอง

“ราคาขายโดยทั่วไปมีราคาเฉลี่ยที่ 5-10 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการปลูก รวมถึงต้นทุนการปลูก แต่ยืนยันว่าผักที่ทางกลุ่มวางขายมีขนาดกำใหญ่กว่าที่ขายทั่วไป แต่อาจดูไม่สวยเหมือนผักที่ขายตามตลาด แต่ผู้บริโภคก็เข้าใจดีเพราะรู้ว่าเป็นผักอินทรีย์ที่มีความปลอดภัยแม้จะไม่สวย แถมยังขายดีมาก ปลูกกันไม่ทัน”

สำหรับรายได้ของชาวบ้านที่ปลูกผักจะเกิดขึ้นจากการขายผักของตัวเอง บางรายขายให้กับทางกลุ่มที่จะรับซื้อในราคากลุ่มกำหนดไว้ แต่บางรายอาจนำผักตัวเองหรือรับซื้อผักเพื่อนสมาชิกแล้วนำไปขายยังแหล่งชุมชน

ผลแห่งความตั้งใจจริง ตลอดจนความร่วมมือสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชนแห่งนี้ จึงทำให้แปลงปลูกผักทุกคนมีผักอินทรีย์ของแท้ที่มีคุณภาพ แม้จะดูไม่สวยงามเหมือนผักในตลาดแต่รับรองในความปลอดภัย ทั้งยังสนใจที่จะนำแนวคิดนี้ไปเป็นตัวอย่างเผยแพร่ในท้องถิ่นอื่น ตลอดจนต้องการสร้างเครือข่ายปลูกผักด้วย นอกจากนั้น ยังมีหลายรายติดต่อขอซื้อผักไปขาย แต่คงยังทำไม่ได้เพราะที่ขายอยู่ในชุมชนยังไม่พอแก่ความต้องการ

คุณพงศักดิ์ สายแก้ว รักษาการเกษตรอำเภอศรีณรงค์ กล่าวว่า เมื่อมองดูความตั้งใจและความมุ่งมั่นของชาวบ้านกลุ่มนี้แล้วคิดว่าคงมีโอกาสจัดเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน แล้วยังจะได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ออกไปยังชาวบ้านในหมู่บ้านอื่นเพื่อให้ทราบกันโดยทั่วไปว่า กลุ่มชาวบ้านคูขาดนี้เป็นกลุ่มที่สามารถปลูกผักอินทรีย์ได้อย่างมีคุณภาพ

“อีกทั้งทางสำนักงานเกษตรอำเภอจะเข้ามาช่วยวางแผนการปลูกผักในแต่ละชนิดเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและถูกต้อง นอกจากนั้น ยังจะช่วยดูสัดส่วนความต้องการผักในแต่ละชนิดเพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด”

คราวนี้ไปฟังข้อมูลจากชาวบ้านว่าได้รับความพึงพอใจกับการปลูกผักอินทรีย์ในครั้งนี้อย่างไร? อย่างท่านแรก คุณบัวทอง ผลเจริญ อายุ 60 ปี ปลูกผักทุกอย่างแล้วนำไปขายด้วยตัวเอง โดยนำผักของตัวเองและรับซื้อผักจากสมาชิกใส่จักรยานแล้วถีบขายตามชุมชนบ้านเรือน ขายหมดทุกวัน มีรายได้เฉลี่ยวันละ 400 บาท นอกจากปลูกผักอินทรีย์แล้ว ยังทำนาปลูกข้าว ทำสวนยาง คุณบัวทอง บอกว่า รายได้จากการปลูกผักนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน ส่วนรายได้จากทำนาและยางพารานำไปใช้หนี้ ธ.ก.ส.

หรืออย่าง คุณสวาท บุญเสริม อายุ 68 ปี บอกว่า ปลูกผักอินทรีย์มา 3 ปี ตอนทำครั้งแรกยังไม่เก่งและผลผลิตมีน้อยเพราะยังขาดความเข้าใจ อีกทั้งดินที่ปลูกเป็นดินใหม่ที่ยังขาดแร่ธาตุอาหาร ผักที่ปลูกแล้วเก็บขายในแปลง ถือว่ารายได้จากการปลูกผักดีมาก สำหรับการลงทุนปลูกผัก คุณสวาท เผยว่า มีการลงทุนซื้อเมล็ดพันธุ์บางชนิด ซื้อปุ๋ยคอก แต่ตอนนี้ทำปุ๋ยคอกเองจากมูลวัวที่เลี้ยงจึงไม่ต้องเสียเงินซื้อ

ผักของคุณสวาทจะมัดเป็นกำขายปลีก กำละ 5 บาท แต่ถ้าขายส่ง กำละ 4 บาท สามารถขายได้วันละกว่า 20 กำ หรือในบางคราวมีการเหมาผักไปทำอาหารเลี้ยงตามงาน แล้วยังชี้ว่า ปลูกผักอินทรีย์ไม่ยาก แต่ขอให้มีแรงและความขยันเท่านั้น และที่ทำทุกวันนี้ถึงแม้จะมีรายได้ไม่มาก แต่มีความสุขเพราะได้มีโอกาสออกกำลังกาย คือต้องเดินไปรดน้ำผักทุกเช้า-เย็น ทุกวัน

ชาวบ้านอีกท่านคือ คุณจุก เสนาพงศ์ อายุ 66 ปี มีอาชีพหลักคือทำนา ปลูกผักอินทรีย์มาเป็นเวลา 3 ปี ผักที่ปลูกมีหลายชนิดในช่วงเวลาที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคะน้า ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง พริกขี้หนู ฟักทอง เป็นต้น คุณจุก ชี้ว่า การปลูกผักอินทรีย์เป็นเรื่องง่าย อีกทั้งผักที่ปลูกด้วยตัวเองกับเพื่อนสมาชิกล้วนเป็นผักที่สะอาด ปลอดภัย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างที่ปลูกอยู่ในช่วงนี้เป็นพริกขี้หนู จำนวน 200 กว่าต้น รวมทั้งยังปลูกผักอื่นแซมไปด้วย ทั้งนี้ ระหว่างรอเวลาเก็บพริกขาย อาจมีรายได้จากผักชนิดอื่นที่ปลูกแซมไว้

นับเป็นตัวอย่างของความสำเร็จอันมาจากความร่วมมือกันทุกคนของชาวบ้านหมู่ที่ 5 บ้านคูขาด ตำบลหนองแวง อำเภอศรีณรงค์ จังหวัดสุรินทร์ ที่ต่างเข้าใจดีถึงสถานการณ์ความแห้งแล้งที่เกิดขึ้น แล้วพร้อมให้ความร่วมมือกับภาคราชการอย่างเต็มที่ จนในที่สุดความสำเร็จก็บังเกิดขึ้นอย่างไม่ยากเลย…

หน่วยงานใดสนใจแนวคิดนี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณพงศักดิ์ สายแก้ว รักษาการเกษตรอำเภอศรีณรงค์ โทรศัพท์ (081) 725-3747

ขอขอบคุณ : เกษตรอำเภอศรีณรงค์ และคณะเจ้าหน้าที่เกษตรทุกท่าน ที่อำนวยความสะดวกการทำรายงานพิเศษครั้งนี้

Leave a comment