พฤกษาย้อนตำนาน ภูมิปัญญาโบราณ สืบสานวิถี…ข้าวไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05030010559&srcday=2016-05-01&search=no

วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 622

พฤกษากับเสียงเพลง

มานพ อำรุง

พฤกษาย้อนตำนาน ภูมิปัญญาโบราณ สืบสานวิถี…ข้าวไทย

ฉันทำนาเปล่า จะเอาอะไร

ฉันไม่มีทุน ให้ว้าวุ่นใจ

สู้ลงแรงไป มันไม่มีค่า

เลิกสมพัตสร ชาวสวนสบาย

พวกเราทั้งหลาย ยังต้องเสียค่านา

จึ่งไม่มั่งมี ป่นปี้มากกว่า

หาให้พ่อค้า สาแก่ใจ เอย

เป็นส่วนหนึ่ง ในงานประพันธ์ บทร้อยกรอง เรื่อง ข้าวของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (ครูเทพ) เรื่อง ความทุกข์ยากของชาวนา และมีบทสรุปที่เหนือคำอธิบาย ว่า…

ทั้งเหน็ดทั้งเหนื่อย มั่งมีที่ไหน

แลกข้าวขายข้าว ส่งเข้าในกรุง

เพื่อไปบำรุง พ่อค้าใหญ่ใหญ่

…ฯลฯ…

นานมาแล้วจนเป็นตำนานสำหรับกว่าจะเป็นเมล็ดข้าว สะท้อนจากบทร้อยกรอง ของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ให้เห็นภาพบริบทของชีวิต

เมื่อเอ่ยถึง “ครูเทพ” นามปากกาของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ผลงานประพันธ์บทกวี บทร้อยกรอง หรือบทเพลง ที่มิบังอาจจะนำเปรียบกับงานกวีใดๆ หากใครเคยขับร้อง “เพลงกราวกีฬา” (พวกเรานักกีฬาใจกล้าหาญฯ) หรือ “เพลงคิดถึง” (จันทร์กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาวฯ) นั่นหมายถึง ได้มีโอกาสสัมผัสผลงานของท่านตั้งแต่ 80 กว่าปีมาแล้ว เพราะท่านมีผลงานประพันธ์มา ระหว่าง พ.ศ. 2471-2484 ส่วนในบทร้อยกรอง เกี่ยวข้องกับความทุกข์ของชาวนา ท่านก็ได้สะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมไทย ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 ต่อรัชกาลที่ 8 ซึ่งผลงานของท่านก็ยังสอดคล้อง และเหมือนกับสภาพวิถีชีวิตชาวนามาถึงปัจจุบัน

หากจะย้อนตำนานชีวิตชาวนาจริงๆ จากงานเขียนของท่านปรมาจารย์อีกท่าน ซึ่งมีผลงานอยู่ระหว่าง พ.ศ. 2467 และผลงานเด่นๆ หลัง พ.ศ. 2476 ก็คือ พระยาอนุมานราชธน (ยง เสถียรโกเศศ) โดยท่านใช้ชื่อในงานเขียนว่า “เสถียร โกเศศ” ผลงานของท่านทุกชิ้นงานก็กลายเป็นตำนานที่มิอาจนำเปรียบกับผลงานอื่นใด ทั้งด้านคุณค่าและจำนวนผลงาน โดยที่ท่านมีชีวิตอยู่ถึง พ.ศ. 2512 จึงมิอาจนำบทความใดๆ มาเทียบเคียงเช่นกัน

ดังนั้น ผลงานของปรมาจารย์ทั้งสองท่านที่ได้กราบคารวะเอ่ยถึง จึงยิ่งกว่าตำนาน เพราะสะท้อนความเชื่อมโยงวิถีชีวิต จากชีวิตชนบทชาวนาถึงชีวิตชาวเมือง ซึ่งผู้คนลูกหลานยุคนี้อาจจะหรือไม่เคยสัมผัสในความเป็นจริงได้เลย เนื่องจากทุกอย่างถูกครอบคลุมด้วยคำวลีสมัยใหม่ ที่รู้จักแต่คำว่า “เทคโนโลยี” และ “วิวัฒนาการ” ถึง “ยุคดิจิตอล”

ท่าน “เสถียร โกเศศ” ได้เขียนถึง “ชีวิตชาวนา” (ไม่ปรากฏปีพิมพ์) มีเผยแพร่ไว้ในหนังสือ ข้าว ความเชื่อมโยงวิถีชีวิตชาวเมืองและชาวชนบท จัดพิมพ์โดย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในโอกาสที่จัดดำเนินงานการจัดสัมมนาดุสิตาวิชาการ ครั้งที่ 3 เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ซึ่งในงานสัมมนาครั้งนี้ ได้บรรจุเนื้อหา ข้อมูลวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเรื่องข้าว ทั้งการปาฐกถา อภิปรายในด้านต่างๆ ที่เป็นประโยชน์เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนา เช่น สถานการณ์ข้าวไทย วิถีชีวิตและวัฒนธรรมชาวนาในท้องถิ่นต่างๆ ข้าวกับบริบททางยาและสมุนไพร ยุคเฟื่องฟูของการค้าข้าว ภาพหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง อนาคตข้าวไทย เป็นต้น

“ชีวิตชาวนา” ซึ่ง เสถียร โกเศศ ได้บันทึกไว้ไม่น้อยกว่า 60 ปี ที่ผ่านมา ได้สะท้อนประเพณี วัฒนธรรม ที่เป็นต้นตอสืบสาน และนำสู่การ “พัฒนาเป็นนวัตกรรมปัจจุบัน” เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตนอกเมืองและในเมือง มา ณ วันนี้ จึงขออนุญาตนำเรื่องราวนั้นมาสรุป ย่อตำนานแห่งปากท้องของทุกคน เพื่อระลึกคารวะด้วยจิตสำนึกแห่งพระคุณแม่โพสพ ข้าวไทยอาหารมวลมนุษย์

ห่างเมืองออกไปไม่ไกลนัก ที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่สุดสายตา มีหมู่ไม้ขึ้นเป็นระยะ ขัดจังหวะเป็นหย่อมๆ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เห็นขอบฟ้าอยู่ไกลลิบ สงบเงียบ ได้ยินแต่เสียงนกกาและลมพัด สูดหายใจอากาศบริสุทธิ์สดชื่น นี่คือสภาพของทุ่งนานอกเมือง ตรงข้ามกับในเมือง ที่คนพลุกพล่าน เสียงเอ็ดอึง ทั้งคน ทั้งรถ อากาศอบอ้าว หายใจอึดอัด ฝ่ายหนึ่งใกล้ชิดธรรมชาติ อีกฝ่ายห่างเหินธรรมชาติ ฝ่ายหนึ่งเป็นที่เกิดของอาหารและอนามัย อีกฝ่ายเป็นที่รวมบริโภคอาหารและเชื้อโรค อันที่จริงบ้านเมืองทั้งในเมืองและนอกเมือง ย่อมถึงซึ่งความสมบูรณ์ เพื่อบำรุงความสุขความสบาย หากเปรียบความรุ่งเรืองของในเมืองเป็นเหมือนดวงไฟที่ลุกรุ่งโรจน์อยู่พักหนึ่ง แล้วมอดดับไปเพราะขาดเชื้อคืออาหารที่นอกเมืองทำหน้าที่ผลิต และส่งป้อนให้ ดังนั้น ในเมืองก็ต้องอาศัยนอกเมืองเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ฝ่ายนอกเมือง ถ้าอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากเกินไป ก็จะมีสภาพเป็นอยู่อย่างธรรมชาติอย่างใดก็อยู่อย่างนั้น ไม่มีขยับขึ้นแห่งความเจริญก้าวหน้า เพราะนอกเมืองต้องอาศัยทรัพย์สินปัญญาความรู้ และอำนาจจากในเมืองเป็นเครื่องบำรุงและส่งเสริม จึงทำให้นอกเมืองรุดหน้าขยายตัวสู่ความอุดมสมบูรณ์ขึ้นได้ ต่างฝ่ายต่างก็รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย พึ่งพากัน ไม่มีใครดีหรือเลวกว่ากัน มีแต่ของใช้ แต่ไม่มีข้าวกิน หรือมีแต่ข้าว แต่ไม่มีของใช้ก็ต้องเดือดร้อน ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า ชาวบ้านในคือชาวเมือง และชาวบ้านนอกคือชาวชนบท แต่ชีวิตชาวนาชาวชนบท ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นพลเมืองที่ทำให้ประเทศอุดมไปด้วยโภคสมบัติ ซึ่งได้จากการทำนา อันเป็นงานเกษตรกรรม อุตสาหกรรมที่เก่าแก่ยิ่ง และแพร่หลายที่สุดของมนุษยชาติ

ตำนานแห่งเริ่มนา แรกนา ที่ เสถียร โกเศศ ได้เล่ากล่าวถึง โดยย้อนยุคด้วยภาษา และวิธีการสมัยนั้น เชื่อว่าหลายคน หลายคำ หลายวิธีการอาจจะไม่เคยได้ยิน หรือไม่รู้จัก ท่านเสถียร โกเศศ กล่าวเล่าเรื่องการทำนาว่าถึงลักษณะรูปเนื้อที่ของนา เป็นพื้นที่ราบ มีคันดินกั้นไว้โดยรอบ เป็นกระทงๆ เรียกว่า อันนา ก็มี เรียกว่า กะบิ้งนา หรือ ตะบิ้งนา ก็มี การนับจำนวนเนื้อที่นาตามที่ปรากฏในหนังสือเก่า เช่น ในพงศาวดารเมืองนครศรีธรรมราช (ฉบับนายขาวผู้ใหญ่บ้าน) ใช้นับเป็นตะบิ้ง อันนา นั้น ส่วนมากเป็นรูปสี่เหลี่ยม ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แล้วแต่ขนาดที่แบ่ง ตอนปลายนาเนื้อที่จะไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมเสมอไป เพราะติดโคก โขด เนิน หรือต้นไม้ใหญ่ หรือติดเหมือง ติดหนอง คลอง บึง เป็นที่เหลือเศษ จะทิ้งไว้เฉยๆ ก็เสียดาย จึงกั้นคันเอาตามรูปลักษณะของเนื้อที่ ถ้าอันนาเป็นรูปเสี้ยวอย่างชายธง ก็เรียกว่า นาเสี้ยว ถ้าเป็นรูปด้านหนึ่งยาวเป็นแนวตรง อีกด้านหนึ่งเป็นแนวโค้งเฉไป ก็เรียกด้านยาวที่เป็นแนวตรงว่า แวง เรียกด้านยาวที่เป็นเส้นโค้งว่า รุ้ง ส่วนด้านกว้างก็คงเรียก กว้างตามเดิม นาอย่างนี้เรียกว่า นารุ้งนาแวง แต่เดี๋ยวนี้คำว่า รุ้ง มีความหมายว่า กว้าง ด้วยแล้ว

เครื่องมือที่ใช้ทำนาคือ ไถ คราด เวลาหน้านาจะเห็นวัว หรือควาย ลากไปตามอันนา มีคนถือไถตามไปข้างหลัง เป็นไม้โค้งๆ สูงเสมอเอว ท่อนหนึ่งเรียกว่า คันยาม ตอนปลายที่คนไถจับถือ เรียกว่า หางยาม กับมีไม้อีกท่อนหนึ่งเจาะติดกับคันยาม ตอนล่างโค้งไปข้างหน้าติดต่อกับแอกน้อย ซึ่งมีเชือกผูกไว้ 2 เส้น ถัดออกไปก็ถึงวัวหรือควาย ซึ่งลากไถไม้โค้งอันนี้ คือ คันไถ และเชือกที่ล่ามติดกับแอกน้อย เรียกว่า เชือกเคล่า ส่วนล่างของไถเห็นผลุบโผล่อยู่ในน้ำและดิน เวลาไถมีดินดันขึ้นมาเป็นก้อนๆ ในตอนหน้าเป็นไม้นอน ท่อนหนา ยาวเรียวศอกหนึ่ง ตอนหน้าปากเพล่ขึ้นอย่างเกือก เรียกว่า หัวหมู ตอนบนเป็นแผ่นเพล่ ยื่นลาดสูงขึ้นไป สำหรับเบิกพลิกดิน เรียกว่า ใบหัวหมู ปลายหัวหมูมีเหล็กรูปสามเหลี่ยม โตกว่าฝ่ามือเล็กน้อย สวมให้เพล่ไปข้างหน้า สำหรับแทงมุดดินให้แตกแยก และทะลักขึ้นมาได้สะดวก เหล็กนี้เรียกว่า ผาลไถนา หรือในบางท้องถิ่น เรียก ปะขาง ส่วนใหญ่เครื่องไถชาวนามักจะทำเอง ยกเว้นเหล็กผาล ที่ต้องซื้อหา

การทำนามักจะเริ่มต้นตั้งแต่ ขึ้นค่ำ เดือน 6 ชาวนาจะเตรียมเครื่องมือแล้วรอฤกษ์งามยามดี เพื่อทำพิธีแรกนา หรือเริ่มนา วันหนึ่งวันใดในเดือน 6 ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกวันคู่ โดยหาจากตำราหรือถามผู้รู้ ถ้ามีปฏิทินของหลวง ก็มักถือกำหนดวันแรกนาในปฏิทินเป็นเกณฑ์ กำหนดเวลาฤกษ์ ถ้าในตำราจดไว้ดูเวลา เขาจะใช้วิธีบอกเวลาอย่างของอินเดีย เป็นตัวกำหนดกี่ชั้นฉาย คือการวัดเงาของตัวเอง ด้วยขนาดยาวของช่วงเท้าตนเอง ซ้อนต่อๆ กันไปได้กี่ช่วงก็เป็นเท่านั้นชั้นฉาย ถ้าเป็นเวลาเช้าดวงตะวันเพิ่งจะขึ้น เงาที่อยู่กลางแดดก็จะยาวกว่าช่วงเวลาสาย วัดเงาด้วยเท้าตนเองได้กี่ช่วงระยะก็เท่ากับชั้นฉาย

ก่อนหน้าเวลาฤกษ์ นิยมปลูกศาลพระภูมินา เป็นศาลชั่วคราว เรียกว่า ศาลเพียงตา ขึ้น ณ ที่ใกล้อันนา ซึ่งกำหนดเป็นที่แรกนา เตรียมพร้อมทั้งเครื่องบูชา และเครื่องสังเวย ศาลเพียงตาปลูกโดยใช้ไม้ปักเป็นเสา 6 เสา สูงเสมอตา เป็นร้านสี่เหลี่ยม ไม่ต้องแข็งแรง ถาวร เพียงวางเครื่องบูชาสังเวยบนพื้นฟากสับ หรือไม้ไผ่เรียงก็พอ เครื่องสังเวยตามมีตามเกิดก็ได้ อย่างที่พูดรวมๆ ว่า กุ้งพล่าปลายำ ส่วนข้าวสังเวยต้องใช้ข้าวปากหม้อ โดยจัดใส่กระทง หรือใบตองวางแบก็ได้ ตามความเชื่อว่าใบตองจะบริสุทธิ์กว่าเครื่องใช้ภาชนะอื่นๆ เพราะถือว่าใช้แล้ว เรื่องบูชาก็ใช้ธูป เทียน ดอกไม้ การสังเวยบูชาจะหยิบก้อนดินวางไว้สักก้อน ก็กำหนดหมายว่าเป็นพระภูมิ แล้วจะกล่าวถ้อยคำอ้อนวอน ขอพรให้ทำนาปีนี้เป็นมรรคผล ข้าวงอกออกรวงได้ผลบริบูรณ์ อย่าให้มีภัยพิบัติมาขัดขวาง เสร็จจากสังเวยบูชาก็ลงมือไถแรกนา ชั่วโมงเดียวเสร็จก็กลับบ้าน ทิ้งศาลพระภูมิไว้อย่างนั้น จะทำพิธีสังเวยอีกครั้งเมื่อลงมือปักดำข้าว สำหรับทางภาคอีสาน เรียกพระภูมินา ว่า ผีตาแฮก หรือ ผีตาแรก นิยมสังเวยด้วยไก่ สำหรับแถบพระนครศรีอยุธยา นิยมทำธงรูปสามเหลี่ยม จำนวน 4 ธง สีขาวหรือสีอะไรก็ได้ ปักที่มุมนาทางทิศเหนือ เรียกเป็นรูปสี่เหลี่ยม บอกแม่โพสพ แม่ธรณี พระภูมิเจ้าที่ ขออย่าให้มีเภทภัยทำอันตรายแก่ข้าวที่หว่านปลูก ให้งอกงาม ปลอดภัย

สำหรับผู้ที่ถือฤกษ์ยาม เมื่อเริ่มไถแรกนา ถ้าเป็นผู้รู้ก็ไถให้ถูกทิศถูกทาง ที่ดินมีมงคลเป็นโชคชัย หลีกทิศที่เป็นอัปมงคล เช่น ทิศผีหลวง หลาวเหล็ก ทักทิน ยมขันธ์ ซึ่งมีอยู่ในตำราโหราศาสตร์ การไถแรกนา ไถเพียง 3 รอบพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะ 3 รอบ เป็นจำนวนที่เขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ บางแห่งมีตำราแรกลงมือไถตามชันษาของผู้ทำนา เช่น เกิดปีชวด แรกไถวันอาทิตย์ เกิดปีฉลู แรกไถวันพุธ (ตามตำราทำนาแบบโบราณของหมอแฉ่ง ใจตรง : โรงพิมพ์จันทนผลิน) เสร็จแรกนาแล้วทิ้งไว้อย่างนั้น ฝนตกลงมาเมื่อใด ดินเปียกพอง ก็ลงมือไถทำนาได้ การเพาะปลูกข้าว อาจมีพื้นที่นาสำหรับเพาะปลูกข้าวกล้า เป็นที่ทอดกล้า ซึ่งมีทั้งข้าวหนัก และข้าวเบา ที่ออกรวงเร็ว หรือพื้นที่นา ทอดกล้าข้าวเหนียวหรือข้าวเหนียวดำ ข้าวปลูกหรือข้าวทำพันธุ์ที่นำมาทอดกล้า เป็นข้าวที่คัดเลือกไว้แล้ว และนำข้าวแม่โพสพซึ่งไปเรียกเชิญจากนามาปนกับพันธุ์ข้าว บางท้องที่จะผูกเป็นหุ่นรูปคนขนาดเล็กๆ ซึ่งเก็บไว้ในยุ้งข้าวแม่โพสพนี้ ใช้ไม่กี่รวง นำมาปนพอเป็นพิธีเพื่อให้ข้าวปลูกมีเชื้อ กำลังใจเป็นเสมือนชีวิตจิตใจ มีความอบอุ่น มั่นใจ เชิงจิตวิทยาจากแม่โพสพ

กำลังใจจากชาวนา มีสุข เบิกบานใจ เมื่อทำนาได้ข้าวบริบูรณ์ ดังที่กล่าวกันว่า “ข้าวเหลือ เกลือถูก หรือมีข้าวเต็มนา มีปลาเต็มน้ำ” ก็นับว่ามีความสุขสุดๆ แล้ว

เพลง พวงมาลัย

เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (ครูเทพ)

เจ้าพวง (เอ๋ย) มาลัย

เจ้าร่วงพรูไป กลับกลายเป็นลูกจ้าง

ไร่นาหาไม่ ได้อาศัยเขาบ้าง

หรือมิฉะนั้นนายห้าง ก็หาที่อยู่ให้เอง

(ลูกคู่)

แรง (เอ๋ย) แรงงานไทย เจ้าศิวิไลซ์สติไปจากนา

ที่ดินทวีค่า ตัวเจ้าก็น่าจนจริง

เจ้าแรง (เอ๋ย) แรงงานเอย

เปลี่ยนจากงานบ้าน กลายเป็นงานฉุกละหุก

บ่อทอง บ่อถ่าน บ่อน้ำมัน เหมืองดีบุก

บ่อพลอย พลอยสนุก หรือพลอยทุกข์ก็ตามที

(ลูกคู่)

กรรม (เอ๋ย) กรรมกร กรรมหรือจู่จรจัดให้

ทิ้งนาทิ้งไร่ ไพล่เป็นกรรมกรเอย

เจ้าแรง (เอ๋ย) แรงงานเอย

ต้องปฏิบัติการ ตามกำหนดของสำนัก

เหงื่อไหลไคลย้อย วันละน้อยชั่วโมงพัก

นับว่าเป็นงานหนัก ตามศักดิ์ลูกจ้างเอย

(ลูกคู่)

เจ้าแรง (เอ๋ย) แรงงานไทย จะถึงต้องไกลจากบ้าน

ไปเที่ยวหางาน ฐานลูกจ้างเขาเอย

เจ้าแรง (เอ๋ย) แรงงานเรา

ไร่นาพ่อค้าเขา มีทุนมาลงมากมาย

เจ้าสู้ไม่ได้ เจ้าก็ไพล่โอนขาย

ตัวเจ้าจึ่งกลาย เป็นลูกจ้างเขาเอย

(ลูกคู่)

แรง (เอ๋ย) แรงงานเรา จะมีแต่เมารายได้

เขาทำการใหญ่ ไล่เจ้าจนแต้มเอย

ไม่น่าเชื่อว่า 60 กว่าปีมาแล้ว จะมีแรงงานจากไร่นาเข้าหางานทำในเมือง หากไร่นาไม่ใช่ “สวรรค์บ้านนา” จริงๆ แล้ว ป่านนี้เราคงไม่มีข้าวกินแน่นอน ดังนั้น เมื่อรวงข้าวเต็มนา เก็บเกี่ยวมานวด ร่วมแรงรวมใจนวดเป็นเมล็ดข้าว ด้วยสุขสามัคคี กับการ “สงฟาง พานฟาง” ดังกลอนเพลงที่ขับกล่อมกันว่า…

พานเถิดหนาแม่พาน พี่มานั่งรอบขอบลาน มาช่วยน้องพายฟาง (เอ่ย)

ส่งเถิดหนาแม่สง แม่คิ้วต่อคอระหง ขอเชิญแม่สงฟาง (เอ่ย)

Leave a comment