ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05115150559&srcday=2016-05-15&search=no
| วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 623 |
บัญชีชาวบ้าน
วิโรจน์ เฉลิมรัตนา virojch@yahoo.com
ภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล… ตัวอย่างมาตรการรัฐ ที่ใช้กำหนดพฤติกรรมผู้ประกอบการและผู้บริโภค
คงเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง กับกรณีที่มีการผลักดันให้เก็บภาษีสรรพสามิตจากเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลเกินมาตรฐานที่กำหนด โดยเก็บภาษีในสองอัตราตามความเข้มข้นของน้ำตาล ได้แก่ ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัม/100 มิลลิลิตร เก็บภาษีที่ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้น 20% ขึ้นไป และปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม/100 มิลลิลิตร เก็บภาษีที่ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้น 25% ขึ้นไป
ในเรื่องนี้สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย ที่สมาชิกเป็นบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการเครื่องดื่ม 19 บริษัท ออกมาให้เหตุผลว่า การเก็บภาษีดังกล่าวไม่ใช่แนวทางแก้ไขปัญหาที่ตรงประเด็น และสร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นในการแข่งขันทางการค้า เพราะมีกิจการร้านอาหาร ร้านกาแฟ และเครื่องดื่มอีกมากที่ไม่ต้องเสียภาษี
อันที่จริงมาตรการการเก็บภาษีเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐที่ใช้กำหนดทิศทางทางเศรษฐกิจ และควบคุมพฤติกรรมของประชาชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก และเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีที่สุดวิธีหนึ่ง เนื่องเพราะส่งผลโดยทันทีต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค เอาง่ายๆ แม้กลุ่มผู้ประกอบการจะอ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงประเด็น แต่เราก็เห็นทันทีว่าภายหลังมีข่าวนี้ออกมา มีผู้ประกอบการหลายรายให้ข่าวตรงกันว่า จะลดปริมาณน้ำตาลในน้ำผลไม้ให้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในฝั่งผู้ผลิตในทันทีที่มาตรการนี้ออกมาเป็นข่าว
เครื่องดื่มที่น่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ ได้แก่ น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ ที่จัดว่าเป็นเครื่องดื่มทำลายสุขภาพ ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
คนไทยติดอันดับบริโภคน้ำตาลมากเป็น อันดับ 9 ของโลก บริโภควันละ 16 ช้อนชา ต่อคน ต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 11 ช้อนชา ต่อคน ต่อวัน โดยปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา ต่อคน ต่อวัน
ในหนึ่งวันเราได้รับน้ำตาลจากอาหารหลายอย่าง ไม่เพียงแค่เครื่องดื่มเท่านั้น ในอาหารคาว ขนมหวานที่เป็นของว่าง และขนมที่เป็นห่อ ลองคิดดูว่าหากเราจะควบคุมการกินอาหารของเราให้ได้รับน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา ต่อวัน ก็น่าจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก หากเราไม่ระมัดระวังหรือคอยสังเกตว่า ในอาหารคาวที่เรามองเผินๆ ไม่น่าจะมีน้ำตาลก็ยังอาจจะมีน้ำตาลผสมอยู่ด้วยในขั้นตอนการทำอาหาร เคยสังเกตว่า ในเย็นตาโฟ ข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ผัดกะเพรา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า พ่อครัว แม่ครัว ก็ใส่น้ำตาลในระหว่างผัดลงไปด้วยเสมอ
เวลาดื่มเครื่องดื่มตามร้านกาแฟ เราก็คงจะไม่ทันได้สังเกตว่า หากเราเติมน้ำเชื่อม ใส่น้ำตาลในกาแฟ เครื่องดื่มช็อกโกแลต เครื่องดื่มพวกชา ไม่ว่าจะเป็นสูตรโบราณหรือสูตรปัจจุบัน ที่มีเนื้อแป้งให้เคี้ยวกรุบๆ ไปพร้อมกับเครื่องดื่ม ล้วนแต่มีน้ำตาลอยู่ในนั้นเสมอ
พูดอย่างนี้เดี๋ยวจะเข้าทางผู้ประกอบการเครื่องดื่มที่ออกมาให้เหตุผลที่ชวนให้เชื่อว่า จะส่งผลให้การแข่งขันไม่เป็นธรรม อันที่จริงมาตรการทางภาษีครั้งนี้ อาจจะเป็นเพียงมาตรการที่ส่งผลเฉพาะจุด แต่อย่างน้อยก็ช่วยยับยั้งหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคได้ในวงกว้างทีเดียว
ดูกันง่ายๆ ว่า ตลาดเครื่องดื่มที่ประกอบด้วยน้ำอัดลม (47,000 ล้าน) เครื่องดื่มชูกำลัง (30,000 ล้าน) ชาพร้อมดื่ม (15,000 ล้าน) น้ำผลไม้ (12,000 ล้าน) ฟังก์ชันนัลดริ้งก์ (5,000 ล้าน) มูลค่าตลาดรวมก็เป็นแสนล้านบาท มาตรการทางภาษีก็จะส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตลาดเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในวงกว้างทีเดียว
ในส่วนอื่นที่เป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่มที่อยู่นอกกลุ่มที่รัฐจัดเก็บภาษี รัฐก็ต้องใช้มาตรการด้านอื่นๆ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลของประชาชนให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐจะต้องไปศึกษาว่าจะต้องทำอย่างไรในส่วนนั้นๆ แต่คงไม่ใช่ไปมองแบบเหมารวมว่า หากใช้มาตรการภาษีกับเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกินมาตรฐานแล้วจะทำให้ไม่เป็นธรรม แล้วไม่ต้องทำอะไร
อันที่จริง ไม่เพียงเรื่องของ “ความหวาน” เท่านั้นที่ส่งผลต่อสุขภาพ “ความเค็ม” ก็เป็นเรื่องที่ทำลายสุขภาพไม่แพ้กัน ทั้งโรคไต ทำให้หัวใจทำงานหนัก ก่อให้เกิดภาวะหัวใจวาย และความดันโลหิตสูง ความดันในสมองเพิ่มขึ้น มีโอกาสเป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ตัวเลขง่ายๆ ที่ใช้ควบคุมปริมาณเกลือ หรือ โซเดียม ในอาหาร คือ ไม่ควรบริโภคเกิน 1 ช้อนชา ต่อวัน ซึ่งกินความรวมถึงการกินอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป การกินอาหารนอกบ้านโดยกินอาหารที่มีรสชาติหวาน มัน หรือเค็มจัด (ให้ฝึกทำอาหารกินเองโดยทำอาหารรสจืดบ้าง)
พฤติกรรมหลายอย่างเกี่ยวกับการกิน การดื่ม การทิ้งขยะ ส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่ล้นเกิน และยังส่งผลต่องบประมาณด้านสุขภาพ เรื่องธรรมดาสามัญ เช่น การดื่มน้ำขวดกันอย่างแพร่หลาย ก็เป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการผลิตขวดพลาสติก ส่งผลต่อปริมาณคาร์บอนที่มนุษย์ผลิตออกมาสู่โลกของเรา
ภัตตาคารในต่างประเทศ ขายน้ำในร้านโดยกำหนดราคาน้ำขวดไว้แพงลิบ แต่หากลูกค้าเลือกให้เสิร์ฟ และดื่มน้ำจากก๊อกจะราคาถูกกว่ามาก (Tap Water) การกำหนดให้แต่ละบ้านต้องซื้อถุงตามแบบที่กำหนดเพื่อใช้ทิ้งขยะ รถขยะจึงจะเก็บขยะให้ ทำให้คนต้องลดปริมาณขยะที่ตนจะสร้างขึ้น เพราะไม่คุ้มกับการต้องซื้อถุงทิ้งขยะในราคาแพง ก็เป็นมาตรการที่ได้ผลในประเทศพัฒนาแล้ว (ในบ้านเราหากใช้มาตรการนี้คงมีคนแอบเอาขยะไปกองทิ้งบ้านอื่น หรือทิ้งกับถังของ กทม. แทน)
การนำระบบฐานข้อมูลบัญชีสิ่งแวดล้อม หรือการส่งเสริมมาตรการ Greening Supply Chain มาบังคับใช้กับกิจการขนาดใหญ่ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องใส่ใจในการจัดการสิ่งแวดล้อม และมลพิษจากการประกอบธุรกิจ โดยกดดันคู่ค้าที่อยู่ในสายของห่วงโซ่อุปทานต้องร่วมด้วยช่วยกัน ก็เป็นรูปแบบการใช้มาตรการของรัฐในการกำหนด และควบคุมผู้ประกอบการในลักษณะเดียวกับ มาตรการจัดเก็บภาษีจากปริมาณน้ำตาลดังกล่าว ที่น่าสนับสนุนให้ออกมาอีกหลายๆ มาตรการ