ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083010559&srcday=2016-05-01&search=no
| วันที่ 01 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 622 |
คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง
สุพจน์ ศรีนิเวศน์, ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328
เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (2)
ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และศูนย์ฝึกอบรม
โครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และสถานที่ฝึกอบรม (Thai-Danish Dairy Farm and Training Center-TDDF)
ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะไม่ลงรายละเอียดเพราะมีผู้รู้ผู้เข้าใจอยู่เป็นส่วนมากแล้ว แต่ก็จะขอเล่าส่วนที่เกี่ยวข้องหลัก และข้อคิดเห็นจากส่วนหนึ่งที่ได้จากประสบการณ์นี้บ้างตามสมควร
เรื่องก็มีอยู่ว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2498-2502 กรมปศุสัตว์ได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอาหาร และเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO – Food Agriculture Organization) ส่งผู้เชี่ยวชาญการผลิตสุกรมาช่วยราชการไทย 1 นาย โดยกรมปศุสัตว์เป็นผู้รับบุคคลท่านนี้ ชื่อว่า Mr. Niels Gunna Sondergaard – นีลส์ กุนนา ซอนเดอร์กอรด์ ถ้าแปลเป็นไทยก็ว่า นีล กุนนา ลูกคนใต้ ถิ่นฐานเดิมอยู่ตอนใต้ๆ ของเกาะ Jutland ต่อมาคุณพ่อท่านไปตั้งรกรากอยู่ที่เมือง Holsterbro ตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Jutland จบปริญญาตรี Landbrug Hojschool ที่ Copenhagen จบแล้วไปทำงานเกี่ยวกับสุกรที่อังกฤษ 1-2 ปี แล้วกลับประเทศ ขอทุน FAO ไปทำงาน แล้วได้รับมอบหมายให้มาประจำในเมืองไทย เป็นที่น่าสนใจว่า ผู้เรียนมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกคนจะผ่านการฝึกงาน หรือทำงานในฟาร์มเอกชนมาก่อน อย่างน้อย 2-3 ปี จึงจะเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ จึงพอมองเห็นได้ว่า นักศึกษาพวกนี้มีภูมิความรู้พื้นฐานแน่นปึ้ก อาจารย์จะพูดอะไรออกมาก็มองเห็นภาพได้ง่าย คนของเขาจึงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงมาก
เมื่อได้รับมอบหมายให้มาอยู่กรมปศุสัตว์ มีหัวหน้างานสัตว์เล็กท่านหนึ่งที่จัดว่าขยันขันแข็ง ชื่อว่า คุณประเสริฐ ยุทธวิสุทธิ ต่อจากนั้นก็มีผู้ช่วยเป็นเทรนนี (Trainee) คุณอวยชัย ศาลยาชีวิน คุณอิสระ กรีธาพล คุณพะยอม พิกุลทอง คุณศิริพงษ์ สุคนธสรรพ์ และ คุณสุพจน์ ศรีนิเวศน์ พร้อมเจ้าหน้าที่ของกองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ (ขณะนั้น) อีก 2 นาย คณะของคนกลุ่มนี้ได้ช่วยกันทำงาน ศูนย์บำรุงพันธุ์สุกรในอุปการะของรัฐบาล (Government Sponsored Pig Breeding Center – GSPB) โดยความริเริ่มของคุณซอนเดอร์กอรด์ กับกรมปศุสัตว์ การผลิตสุกรของไทยที่เริ่มต้น ซึ่งมีค่าเท่าศูนย์ในปี พ.ศ. 2498 นั้น ได้พัฒนารุดหน้าจนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยความตั้งอกตั้งใจของบุคคลทั้งภาคของเอกชน และรัฐได้กระทำมาทั้งสิ้น ข้อคิดก็มีอยู่ว่า เทคโนโลยีและวิธีการผลิตได้รุดหน้ากันอย่างรวดเร็ว ความกลัวจะไม่ทันโลก จึงมีสูงขึ้นในทุกวงการ การนำพันธุกรรมจากหลายๆ แห่งทั่วโลก เป็นการพัฒนาในเรื่องพันธุ์ และคุณภาพของสุกร แต่ถ้ามาลองคิดดูบ้างในเรื่องของโรคระบาด, โรคต่างๆ ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับสุกรในขณะนี้มีมากมาย มันมาพร้อมๆ กับการนำพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาด้วยหรือไม่ มันทำให้ต้นทุนการผลิตของเราทั้งในด้านการสูญเสียสัตว์และค่ายารักษาสัตว์สูงขึ้นด้วยรึเปล่า ปรับปรุงพันธุ์จนลืมนึกถึงการให้น้ำหนักในด้าน ?ความอยู่รอด? และการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมบ้างหรือไม่ บางทีต้นทุนการผลิตอาจต่ำกว่า และคุ้มกว่าก็เป็นได้ คุณภาพของเนื้อนั้นทัดเทียมกันเกือบทั่วโลก
คุณซอนเดอร์กอรด์ ตั้งศูนย์บำรุงพันธุ์สุกรทั่วประเทศถึง 160 ศูนย์ (พันธุ์ต่างประเทศและลูกผสมพันธุ์พันธุ์ไทย, ไหหลำ, ราด, พลวง) มีศูนย์พันธุ์แท้พื้นเมือง 1 ศูนย์ ชื่อพันธุ์ไหหลำ (Hainan breed) อยู่ที่ปทุมธานี หลายๆ คนในวงการให้ความสนใจมาก ตัวท่านเดินทางไปทั่วประเทศไทย โดยที่มีจิตวิญญาณของนักเลี้ยงสัตว์ ท่านชอบแวะเข้าไปดูฟาร์มรีดนมของชาวอินเดีย ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ที่สะพานควายบ้าง ที่อยุธยาบ้าง ท่านปรารภกับพวกเราในกรมปศุสัตว์ว่า ?เมืองไทยเลี้ยงวัวนมได้? นี่แหละเป็นที่มาของแนวความคิดการมีศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงวัวนมในประเทศไทย ได้ประสานงานติดต่อกับรัฐบาลเดนมาร์ก และองค์กรการค้าภาคเอกชน จนภาคเอกชนให้ความสนับสนุนเป็นอันดับแรก และต่อมาโครงการนี้ก็เกิดเป็นความจริงที่ทุกๆ ท่านทราบดีที่องค์พระประมุข และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของทั้ง 2 ประเทศ เสด็จมาเปิดโครงการความร่วมมือ ณ โครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ที่ตำบลมวกเหล็ก อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2505 ชาววัวนม ถือว่า 16 มกราคม คือวันโคนม โดยไม่มีใครตั้งใจ เพราะวันครูก็ตรงกับวันที่ 16 มกราคม พอดี เหมือนกัน ?เอาวันโคมาซ้อนกับวันครูได้ยังไง? วันนี้ก็เป็นมงคลทั้งของคุณครู กับทั้งของคนเลี้ยงวัวได้เหมือนๆ กัน ปัจจุบันวันโคนม คือ 17 มกราคม ของทุกปี ทางฝ่ายเดนมาร์กได้ขอเจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ 2 นาย ให้เข้ามาช่วยทำงานร่วม คือ นายสัตวแพทย์ยอด วัฒนสินธุ รองหัวหน้ากองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ขณะนั้น คุณสุพจน์ ศรีนิเวศน์ งานโค (นม+เนื้อ) สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง แต่กรมปศุสัตว์ให้ได้เพียงคนเดียว เพราะบุคลากรเกี่ยวกับ ?วัว? มีจำกัดมาก กรมมอบหมายให้ อาจารย์ยอด ไปร่วมงานกับคณะของฝ่ายเดนมาร์กโดยที่กรมปศุสัตว์มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องประสานงานและทำงานร่วมโครงการฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ฝ่ายรัฐบาลไทยมีแหล่งเลือกให้ทางฝ่ายเดนมาร์กพิจารณาตัดสินใจ 4 แหล่งด้วยกัน คือ
ที่บริเวณจันทึก อำเภอปากช่อง อันเป็นเขตของทหาร ที่ดินไม่จำกัด
– ไร่ฝึกนิสิตเกษตรปากช่อง ที่ดินราว 1,200 ไร่
– สถานีพืชอาหารสัตว์มวกเหล็ก ที่ดินราว 2,500 ไร่
– สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ที่ดิน 8,800 ไร่
ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ได้กรุณามอบเฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ พาคณะทีมของเดนมาร์ก ไทยไปเลือกที่ 4 แห่ง ข้างต้น ผลมาจบลงเมื่อค่ำวันนั้น เวลา 02.00 น. สนุกสนานรื่นเริง และแอ่นกันไปตามๆ กัน ทุกคนเห็นด้วยที่จะเอา ?มวกเหล็ก? ณ บ้านรับรองริมลำธารมวกเหล็ก ส่วนที่ฝ่ายกรมปศุสัตว์จะให้ความสนับสนุนเป็นหลักๆ ก็คือ (ซึ่งส่วนใหญ่ให้ทับกวางรับไปทำ)
– ย้ายสถานีพืชอาหารสัตว์ไปตั้งที่ซับหวาย อำเภอปากช่อง ขณะนั้นทั้งตำรวจม้า และแคมป์สร้างทางของฝรั่งก็ย้าย และหมดภารกิจแล้ว สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวางต้องเปิดป่าของสถานีพืชอาหารสัตว์ ที่มีอยู่ราว 2,350 ไร่ เพื่อจัดทำแปลงหญ้า สร้างโรงเรือนและคอกสัตว์ ตลอดจนที่ทำการที่จำเป็น รวมทั้งถมที่ก่อสร้างอาคารเท่าที่จำเป็น
– สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ร่วมกับอาจารย์ยอด ศึกษาในเรื่องพันธุ์ของวัวนมและอาหารวัวนม ทั้งอาหารหยาบ อาหารข้น พร้อมๆ กับศึกษาระดับปริมาณของแร่ธาตุปลีกย่อย (Trace minerals) แก่วัวรีดนม
– เก็บตัวอย่างดินส่งไปวิเคราะห์แร่ธาตุต่างๆ ที่ห้อง Lab ในกรุงโคเปนเฮเกน ซึ่งต่อมาพบว่าดินมวกเหล็กมี Copper, Cobalt อยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพราะเป็นที่เนินถูกน้ำชะพาดินไปมาก ต้องเสริมในอาหารข้น
ขณะนั้นมวกเหล็กยังไม่มีวัว แต่ที่ทับกวางมีวัวนมลูกผสมราว 180 ตัว และมีวัวอื่นๆ เช่น บราห์มัน, เรดซินดิ และพื้นเมือง รวมทั้งหมดราว 600 ตัว ในข้อที่ 2 ที่กล่าวมา ทางทับกวางได้ใช้รถตีนตะขาบ D7 1 คัน รถโคมัตสุใหญ่เท่าๆ กับ Cat. D7 อีก 1 คัน ทำหน้าที่ครบถ้วน รวมทั้งถนนภายในอย่างสมบูรณ์ ส่วนข้อที่จะพูดถึงมากหน่อยคือ ข้อที่ 3 และก็จำเป็นต้องเล่าภูมิหลัง อันจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้มากขึ้น
ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือวัวนมพันธุ์แท้ ที่เรียกว่า American Brown Swiss เป็นพ่อพันธุ์คือ ตัวผู้ 8 ตัว ไม่มีรายงานว่ามีตัวเมียมาด้วยเมื่อปี พ.ศ. 2497 (มาจากรัฐ Wisconsin) จากข้อมูลเท่าที่ทราบวัวทั้ง 8 ตัว ส่งมาทางเรือ และนำไปกักกันไว้ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ ขอนแก่น 2 เดือนต่อมา ย้ายฝากไปไว้ที่สถานีผสมเทียมหนองโพ ราชบุรี 4 ตัว สำหรับรีดน้ำเชื้อเพื่อการผสมเทียม ส่วนที่ท่าพระ ขอนแก่น ปล่อยคุมฝูง 1:20 กับแม่พันธุ์บราห์มันกับแม่พันธุ์เรดซินดิ และกับแม่พันธุ์เมือง 3 ฝูง คงเหลือพ่อพันธุ์ stand by อยู่ 1 ตัว ทางหนองโพ ราชบุรี ดำเนินไปได้ด้วยดีมาก เกษตรกรสนใจและตอบสนองเป็นอย่างดี จนมีวัวนมลูกผสม Brown Swiss x พื้นเมือง เลือด 50% ไปจนถึง 75% รีดนมกันมาก ขณะนั้นไม่มีรายงานว่า วัวบราวน์สวิสได้รับผลกระทบจากโรคไข้เห็บเลย นับว่าเป็นโชคดี ในปลายปี พ.ศ. 2501 ทางกรมปศุสัตว์ได้ปรับนโยบายให้สถานีบำรุงพันธุ์ทับกวางเป็นศูนย์การพัฒนาโคนมเพื่อเตรียมรองรับการทำงานสนับสนุนในขั้นต้น กับโครงการของฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ไปด้วยในตัว จึงได้เอาวัวนมลูกผสมบราวน์สวิส จากสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ท่าพระ 180 ตัว ไปเลี้ยงและรีดนม ซึ่งเป็นวัวที่กำลังรีดนมอยู่ 14 แม่ ทราบจากเจ้าหน้าที่ผู้เลี้ยงวัวนมว่า ทั้งหมดเป็นลูกผสมบราวน์สวิส * พวกตระกูลซีบู มีเลือดบราวน์สวิสอยู่ 50% อีก 50% เป็นบราห์มันบ้าง, เรดซินดิบ้าง, พื้นเมืองบ้าง จนปลายปี พ.ศ. 2502 เมื่อผู้เขียนกลับมาจากการฝึกงานในฟาร์มวัวนม-สุกร และห้องปฏิบัติการ 1 ปี โดยทุน FAO แล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลการเลี้ยงวัวนมอย่างเต็มตัว ขณะนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการรีดนม-เก็บนม ไม่มีเลย การค่อยทำค่อยไปจึงเริ่มขึ้น กล่าวโดยย่อๆ ดังนี้คือ ปรับปรุงระบบการรีดและการจัดการพร้อมๆ กันทั้งระบบ โดยวัวเข้าซองรีดนมประจำที่ของตัว ทุกๆ เวลารีดนม เรียงลำดับขนาดของวัว จากใหญ่ไปเล็ก อาบน้ำ-แปรงขน ทำความสะอาดทุกช่วงการรีดนมตอนบ่าย โดยมื้อเช้าเพียงแต่ล้างที่เต้านม เช็ดทำความสะอาดเต้านมก่อนรีด ให้อาหารผสมสูตรมีโปรตีน 13-15% มื้อละ 1 กิโลกรัม
ปรับปรุงแปลงหญ้าของสุกรที่ คุณซอนเดอร์กอรด์ ทำไว้และไม่ได้ใช้ต่อไปออกทำเป็นแปลงหญ้าวัวนม ชั่งปริมาณน้ำนมทุกมื้อ ทุกตัว
ทำบัตรประจำตัววัวทุกตัว ข้อมูลเน้นไปที่ production records การให้นมต่อระยะการให้นม ช่วงของการตกลูก เป็นต้น
ได้สั่งซื้อเครื่องตรวจไขมันของ Dr.N. Gerber Method ขนาด 24 หลอด ใช้มือหมุน (ขณะนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้) ผลผลิตประจำเดือน มีแบบฟอร์มขนาดใหญ่ไว้ลงบันทึกทุกครั้งที่รีดนม แม้จะมีหมายเลขกำกับ (เบอร์ไฟ) ที่ตัววัวอยู่แล้ว แต่ก็ได้พยายามตั้งชื่อวัวแต่ละตัวด้วย (เพราะวัวยังมีไม่มาก) เท่าที่จำได้ก็มี มะลิวัลย์ กันยายน วณี มยุรี วงเดือน และการเกด เป็นต้น ชื่อที่กล่าวมานี้ผู้เขียนตั้งให้เอง ตามนามของนางสาวไทยสมัยโน้น ส่วนที่เหลือให้คนรีดนมเขาช่วยกันตั้ง แม่มะลิวัลย์ถูกขายมาให้สมาชิกวัวนม พวกเราที่มวกเหล็กในราวปี 2507 พวกเราคงรู้ชื่อนี้ดี มะลิวัลย์เป็นลูกผสมบราวน์สวิส * พื้นเมือง (50 : 50) ขนาดเล็กมาก เชื่อหรือไม่ว่าใน lactation ที่ 3 ให้นมสูง 3,550 กิโลกรัม ไขมันจำไม่ได้ แต่รู้ว่าไขมันสูง และมีระยะให้นมถึง 272 วัน ที่น่าทึ่งที่สุด คือแม่มะลิวัลย์ตัวนี้ ให้ลูกทุกๆ 1 ปี ไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม่วัวชื่อกันยา (หมายเลข 74) เป็นลูกผสมระหว่าง บราวน์สวิส x เรดซินดิ (50 : 50) เต้านมได้ลักษณะดีมาก ให้นมมากพอสมควร เป็นวัวตัวเดียวที่คนเลี้ยงมักจะปล่อยให้ผู้เขียนรีด คือค่อนข้างเปรียว ต้องพูดจาปลอบใจก่อนรีดทุกครั้ง ให้นม lactation ที่ 3 ให้นมสูง 4,100 กิโลกรัม ไขมัน 3.7% ให้ลูกปีละตัวเช่นกัน จำแม่กันยาได้แม่น คือมีอยู่คืนหนึ่ง พรรคพวกชวนไปเต้นระบำที่แสงไทยวิลล่า สระบุรี ฉลองกันหนัก แอ่นซะไม่มีดี ใกล้สว่างแล้วกลับบ้านเถอะ มาถึงราวตี 4 เขากำลังล้างเต้านมกันอยู่ สักครู่จึงเข้าไปรีดนมแม่กันยานั่น ลืมทักทายมัน มันเตะเข้าให้ดังตุ้บใหญ่ๆ ชาไปทั้งแถบเลย แต่ก็ใจเย็น เข้าไปอีกทียังไม่ทันใกล้ตัวดี โดนถีบสกัดเข้าที่สะโพกซ้าย เด้งกลับมา หายเมา เปลี่ยนใจไม่รีดนมมัน นอกนั้น วณี เป็นลูกผสม หมายเลข 27 บราวน์สวิส x เรดซินดิ (50 : 50) ตัวนี้ของจริงไม่ได้โม้เลยให้นมถึง 4,800 กิโลกรัม ต่อระยะให้นมที่ 305 วัน ไขมัน 3.05% เป็นแม่วัวตัวเดียวในปี 2504 ที่ให้นมสูงสุดของทับกวาง และให้ลูกสม่ำเสมอทุกปี นอกนั้น ก็เป็นลูกผสม มยุรี หมายเลข 161 และวงเดือน หมายเลข 9 ก็เป็นลูกผสมบราวน์สวิส x บราห์มัน (50 : 50) ลูกผสมขาว-ดำ x บราห์มัน (50 : 50) ลูกผสมเจอร์ซี่ x บราห์มัน (50 : 50) ไม่ทราบว่าเจ้า ขาว-ดำ กับเจอร์ซี่ หลงเข้ามาเกือบ 20 ตัว ในฝูงได้อย่างไร
ปี พ.ศ. 2505 โชคดีที่ยังมีวัวนมลูกผสมบราวน์สวิส x เรดซินดิบ้าง, บราห์มัน x พื้นเมืองบ้าง ที่มีเลือดบราวน์สวิส 50% อยู่ในสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ขณะนั้นราว 70-80 ตัว ซึ่งเป็นขณะเดียวกันที่สมาชิกวัวนมรุ่นแรกของโครงการโคนมไทย-เดนมาร์ค ที่ตั้งขึ้นมายังขาดวัวรีดนมบางส่วน คุณซอนเดอร์กอรด์ และอาจารย์ยอด ได้ไปพบผู้เขียน ขอแบ่งปันวัวไปรีดนม เอาไปให้สมาชิกน้องใหม่วัวนม ไปรีดนม ตั้งต้นชีวิตดูบ้างตามที่พอหาได้ ทราบว่าต้องการรายละ 2 แม่ ราว 14-15 ครอบครัว ผู้เขียนลงมือคัดเลือกด้วยตนเอง ในฝูงทับกวาง จัดแบ่งเป็นรายๆ ไป แต่ละราย จะมีดี 1 ตัว และด้อย 1 ตัว 13 ราย ส่งให้โครงการรุ่นแรก วัวทุกตัวเคยถูกรีดนมมาก่อนทั้งนั้น ต่อมาก็จัดหาให้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 15 ราย นับว่าได้มีส่วนช่วยโครงการวัวนมอยู่บ้าง วัวลูกผสมขาว-ดำ มีหลายตัว แต่ไม่ได้คัดให้เพราะเต้านมไม่ค่อยสวย ปัจจุบันบ้านเรามีวัวที่เรียกว่า TMZ (Thai Milking Zebu) ใช้รีดนมกันอยู่มาก และมีเป็นจำนวนมากที่มีเลือดขาว-ดำสูงเกือบ 100%
ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค และศูนย์ฝึกอบรม ได้พัฒนาสร้างองค์กร สร้างเครือข่าย สร้างสหกรณ์ สร้างสมาชิกผู้เลี้ยงวัวนมก้าวไกลไปเกือบทั่วประเทศ จนมีวัวนมทั้งประเทศปัจจุบันถึงราว 5 แสนตัว ผลิตนมเองได้ส่วนหนึ่ง ต่อมาถึงวาระหมดเทอมของชาวเดนมาร์ก ทางรัฐบาลไทยได้รับช่วงโครงการนี้มา แปลงร่างเป็นรัฐวิสาหกิจ ชื่อภาษาไทยว่า องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย-อ.ส.ค. (Dairy Farming Promotion Organization of Thailand- DPO) ในปี พ.ศ. 2515 กิจการวัวนมก็ยังดำเนินการต่อเนื่องกันมา แต่จะเข้มข้นเหมือนเดิมหรือไม่นั้น พิจารณากันเอง วัวนมได้สอนให้คนขยันและซื่อสัตย์ พึ่งพาตนเองได้ ข้อที่ได้มาอย่างไม่รู้ตัวของคนเลี้ยงวัวนมคือ ความตรงต่อเวลา
พอจะเห็นได้ว่า ?มวกเหล็ก? ของเรามีอะไรดีเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย เริ่มที่
– ด่านกักสัตว์
– สถานีวนกรรมมวกเหล็ก
– สถานีพืชอาหารสัตว์
– หน่วยบัญชาการสร้างถนนมิตรภาพของฝรั่ง
– ตำรวจม้า
– ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค
– องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
– โรงเรียนนานาชาติ
– รีสอร์ต
– โรงแรมชั้นหนึ่ง และสนามกอล์ฟหลากหลาย ภัตตาคารอาหารมากมายไปหมด
สถานีวนกรรมมวกเหล็กก็ตั้งมาก่อนปี พ.ศ. 2494 เมื่อเป็นนิสิตอยู่ เมื่อปี พ.ศ. 2497 อาจารย์เคยพามาพักที่สถานีวนกรรม เพื่อจับแมลงในวิชากีฎวิทยา เมื่อก่อนมีผีเสื้อสวยมากๆ บินมืดฟ้ามัวดิน น้ำตกก็สวย อากาศก็เย็นสบายถึงหนาวมากในตอนนั้น
มีอีกหลายอย่างไม่อาจนำมาเล่าได้หมด ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ว่า มวกเหล็กของเรามีเสน่ห์ขนาดไหนผู้คนจึงให้ความสนใจมาพักอาศัย มาใช้เป็นสถานที่ทำงาน ก่อให้เกิดการพัฒนาในรูปต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว และนี่ก็คือดินแดนในฝัน-มวกเหล็กของเรา จากประสบการณ์ที่ได้ทำงานโดยตรงเกี่ยวกับวัวนม