พลิกโฉม เชื่อมโยงอาเซียน มองทิศทางเศรษฐกิจไทย ก้าวสู่ ‘AEC 2025’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 25 ต.ค. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/762767

 

การรวมกลุ่มกันของประเทศสมาชิกอาเซียน นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่และครั้งสำคัญ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสมาชิกแล้ว ยังเป็นการยกระดับเศรษฐกิจของภูมิภาคผ่านโครงการลงทุนในด้านต่างๆ ที่จะช่วยพลิกโฉมการลงทุน ซึ่งทาง “ไทยรัฐออนไลน์” มีโอกาสได้เข้าร่วมงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2559 ในหัวข้อ “AEC 2025” ที่จัดขึ้นโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และงานนี้ก็เป็นการเปิดโอกาสให้นักธุรกิจ นักลงทุน เข้าใจบริบทต่างๆ อย่างรอบด้าน และช่วยให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคได้อีกด้วย


งานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2559 ในหัวข้อ “AEC 2025” ที่จัดขึ้นโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และอดีตผู้อำนวยใหญ่ องค์การการค้าโลก (WTO) ได้เผยทัศนะบนเวทีนี้ ว่า เวลานี้แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะสั้น ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ได้เดินมาจนสุดทางแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามีนโยบายที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุ ในความเห็นของตน ก็รู้สึกเป็นห่วงว่า หากการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นทำโดยไม่มีจุดจบ ก็จะไม่มีการพลิกโฉม หรือกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว

จากการกำหนดกรอบนโยบายของรัฐบาล ถือว่ามาถูกทางซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเงื่อนไขว่าประเทศไทยควรจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะวิสัยทัศน์ของอาเซียน หรือสหประชาชาติ ขณะเดียวกัน การเติบโตของประเทศไทยจะพึ่งพาการเติบโตภายในประเทศอย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องมีการเติบโตไปกับภูมิภาคและโลก เพื่อให้เกิดความสมดุล

สิ่งที่จะนำพาไทยก้าวไปได้ในอนาคต และการกลับมากระตุ้นภายในประเทศ หรือการหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง รวมถึงการที่จะยกระดับประเทศให้มีการเติบโตขึ้น จะมาจากการปรับเพิ่มเงินเดือนในทุกระดับ การขยายผลิตภาพการผลิต ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แท้จริง


ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีมาตรการช่วยเหลือผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ เงื่อนไขสำคัญของอาเซียนในขณะนี้ ที่ไทยจะต้องยึดมาเป็นหลักในการพลิกโฉม ประกอบด้วย ความต้องการที่จะเป็นตลาดเดียวกัน ที่จะเป็นการสร้างภูมิภาคที่ทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันได้ การพัฒนากลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่ง CLMV ในขณะนี้ ถือว่าเป็นเครื่องจักรของอาเซียน ที่มีอัตราการเติบโตโดยรวม 6-8%

อย่างไรก็ตาม กระบวนการของไทยที่จะพลิกโฉม ประการแรก คือ กระบวนการที่ปล่อยให้เกิดขึ้นโดยเสรี และเริ่มเข้ามามีบทบาทในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีก มากขึ้น โดยไทยควรเตรียมพร้อมในเรื่องของระบบ ทักษะ และกฎระเบียบ รวมถึงความปลอดภัย จากการเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น

ประการที่สอง เป็นภาพใหญ่ที่จะเข้ามาพลิกโฉมของอาเซียนและสำคัญอย่างมาก คือ การเชื่อมต่อ ที่จะต้องมีความจำเป็นในการดูแลความเคลื่อนไหวของสินค้า ของต้นทุน ของคน ซึ่งจะต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนว่าจะตั้งเป้าการเชื่อมโยงเป็นโครงการของอาเซียนอย่างไรบ้าง

ประการที่สาม การปฏิรูปการพลิกโฉม ก็น่าจะเป็นเรื่องของการพัฒนาและวิจัย และการมีนโยบายการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ถือว่ามีความสำคัญมาก เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกัน และยกระดับสินค้าให้ดีขึ้น


พัฒนากลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ให้เติบโตไปด้วยกัน

พร้อมกันนี้ กลุ่มประเทศที่มีความสำคัญอย่างมากของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) คือ CLMV ซึ่งอาเซียนจะต้องมีการเติบโตไปด้วยกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมองว่าการเชื่อมโยงของ CLMV จะเป็นหัวใจสำคัญให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในอนาคต รวมถึงประเทศจีนด้วย สุดท้ายการพัฒนาเกี่ยวกับข้อตกลงอัตราแลกเปลี่ยน จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งอยากเห็นในโลกต่อไปในอนาคต ในภูมิภาคต่างๆ โดยไม่ควรให้มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนมากเกินไป จนทำให้เกิดการแข่งขันการดำเนินนโยบายติดลบ ซึ่งจะไม่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวไปได้

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น (AMATA) กล่าวว่า ประเทศไทยมีจุดแข็งและจุดขาย จึงควรใช้จุดแข็งเป็นฐานสร้างการเติบโตในอนาคต สำหรับจุดแข็งที่สำคัญ ได้แก่ การเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ ตลาดหลักทรัพย์ มีปริมาณการซื้อ-ขายเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน สูงกว่าประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ความเชี่ยวชาญและชำนาญทางด้านการแพทย์ ส่งผลให้ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นในการเข้ารับการรักษา ซึ่งเชื่อว่าในอนาคต ภาคการบริการด้านการแพทย์ ที่มีผู้เข้ารับการรักษาเติบโตถึง 4 ล้านคน รวมทั้งอาหารไทย ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในประเทศ

ขณะที่ ภาคท่องเที่ยวปีนี้ ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 30 ล้านคน และการเป็นศูนย์การแฟชั่น เช่น การจัดแสดงงานมอเตอร์โชว์ ที่สวยงามที่สุด


ภาคท่องเที่ยวมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 30 ล้านคน

ภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยมีประเทศรวม 46 ประเทศ มีพื้นที่ทั้งสิ้น 44 ล้านตารางกิโลเมตร และมีจำนวนประชากรราว 60% ของประชากรทั่วโลก รวมถึงมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คิดเป็น 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จาก GDP ของโลก 75 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกัน ก็มีทุนสำรองระหว่างประเทศประมาณ 70% ของทุนสำรองระหว่างประเทศทั่วโลกที่มีอยู่ราว 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงกำลังซื้อที่มีอยู่สูง โดยเฉพาะกำลังซื้อของประเทศจีน โดยมองว่าเอเชีย คือ อนาคตของไทยที่จะเป็นตัวผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่าปัจจุบัน ที่เติบโตในระดับต่ำเพียง 3%

“เราต้องมีการ upgrade ตัวเอง ให้สามารถแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น ไม่ใช่เท่าเทียมกับคนอื่น โดยเฉพาะการพัฒนาในเรื่องของ innovation ประกอบกับนำเอาจุดเด่นของประเทศ ที่เป็นศูนย์กลางที่ดีที่สุด ทั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์ และการบริการต่างๆ รวมถึงควรยกระดับภาคเกษตร ให้เป็นสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง บริษัทก็อยู่ระหว่างการปรับตัวในทุกๆ ด้าน โดยนำเอาแนวทางพระราชดำรัสของ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเป็นรากฐานของความพอเพียงอย่างมั่นคง” นายวิกรม กล่าว

ด้าน นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการลงทุนของกลุ่ม ปตท. ในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้า โดยคาดว่า จะอยู่ระดับ 1.2 ล้านล้านบาท ประมาณ 50% เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อความมั่นด้านพลังงานของไทย และ 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศทั้งธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันและปิโตรเคมี หากไทยสามารถตกลงร่วมกับรัฐบาลกัมพูชา ในการพัฒนาพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชาได้ สัดส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศจะเพิ่มสูงกว่านี้อีกมาก


การลงทุนของกลุ่ม ปตท. ในอนาคต 5-10 ปี ข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ระดับ 1.2 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ ตลาดเออีซี มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอัตราที่สูง ซึ่ง ปตท. ได้เข้าไปลงทุนในหลายธุรกิจ ทั้งด้านสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศพม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น ลงทุนสถานีบริการน้ำมันและร้านกาแฟอเมซอน รวมทั้งเทรดดิ้ง โดย ปตท.ก็แสวงหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเติมโดยเฉพาะธุรกิจไฟฟ้า

ส่วนทิศทางราคาน้ำมัน มีการประเมินใน 5 ปีข้างหน้าก่อน มองว่า ราคาน้ำมันคงไม่เกิน 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ยังเป็นหลักและขยายตัวอยู่ แต่มีปัจจัยเรื่อง Shale Oil/Shale Gas รวมทั้งการส่งเสริมพลังงานทดแทนมาเป็นตัวกดดันราคาน้ำมัน

ขณะที่ นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวด้วยว่า ตลาด CLMV ธุรกิจเทรดดิ้ง ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ดังนั้น บริษัทได้รุกการลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมีการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ 140 สาขา และโมเดิร์นเทรด รามทั้งจับมือกับรัฐบาลเวียดนาม ทำเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารด้วยเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยใช้รูปแบบโมเดลการลงทุนในไทยมาใช้ใน CLMV


ผู้ประกอบการต้องศึกษาเตรียมความพร้อมทางธุรกิจสำหรับอนาคตอันใกล้

เห็นได้ว่า จากภาพรวมทั้งหมด AEC ถือเป็นก้าวสำคัญในการร่วมมือกันของภูมิภาคอาเซียน นอกจากอาเซียนจะได้ประโยชน์จากการเป็นตลาดและฐานการผลิตร่วมกันแล้ว ยังเป็นการสร้างอำนาจต่อรองทางการค้าในเวทีการค้าโลกอีกด้วย

สำหรับประเทศไทยเอง การรวมกลุ่ม AEC ย่อมส่งผลดี เพราะอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีความใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด ประกอบกับที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทยก็เอื้ออำนวยให้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาค จากนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยต้องศึกษา เรียนรู้ให้เท่าทันสถานการณ์ เพื่อเตรียมความพร้อมทางธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้.

 

Leave a comment