ปลูกปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานีในภาคอีสาน ต้องให้น้ำเพิ่ม ต้นจึงโตดี ให้ผลผลิตสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05129010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

เรื่องเล่าสองข้างทาง

ธนสิทธิ์ เหล่าประเสริฐ

ปลูกปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานีในภาคอีสาน ต้องให้น้ำเพิ่ม ต้นจึงโตดี ให้ผลผลิตสูง

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย (ศวพ. หนองคาย) สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 3 ได้ทำการวิจัย “เทคโนโลยีการจัดการน้ำในปาล์มน้ำมันลูกผสมสุราษฎร์ธานี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน” ซึ่งมีผู้ร่วมการวิจัย ประกอบด้วย นางสาวกาญจนา ทองนะ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ นายพสุ สกุลอารีวัฒนา นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย และนางสาววิชนีย์ ออมทรัพย์สิน นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี โดยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้เพื่อหาข้อมูลและแนวทางการจัดการที่เหมาะสมกับปาล์มน้ำมันที่ปลูกในสภาพพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเพื่อเพิ่มผลผลิต และเป็นข้อมูลช่วยตัดสินใจในการปลูกปาล์มน้ำมันของเกษตรกรต่อไป

คุณกาญจนา ในฐานะหัวหน้าการทดลอง กล่าวว่า จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในปี 2558 พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว ประมาณ 80,000 ไร่ โดยได้ผลผลิตเฉลี่ย ต่อไร่ 945 กิโลกรัม นอกจากนี้ เกษตรกรมีการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของพื้นที่ปลูก เช่น พื้นที่นา พื้นที่น้ำท่วม ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน

แต่ที่สำคัญคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อย เฉลี่ย 1,520 มิลลิเมตร จำนวนวันฝนตกเฉลี่ย 114 วัน ปริมาณน้ำฝนดังกล่าวนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการน้ำของต้นปาล์มน้ำมัน ด้วยมีผลการทดลองต่างๆ ยืนยันถึงเรื่องดังกล่าว อาทิ ผลการศึกษาของ ภิญโญ และคณะ ปี 2539 ที่ชี้ให้เห็นว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้น มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยมากกว่า 2,000 มิลลิเมตร ต่อปี และมีการกระจายตัวของฝนสม่ำเสมอตลอดปี ดังนั้น ในสภาพที่มีการขาดน้ำหรือช่วงแล้งยาวนานเกิน 2 เดือน ควรมีการให้น้ำเสริมหรือทดแทนในช่วงที่ไม่มีฝน ด้วยการติดตั้งระบบให้น้ำ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในภาคใต้โดยการศึกษาของศูนย์วิจัยปาล์มน้ำมันสุราษฎร์ธานี ด้านผลกระทบของการให้น้ำต่อกระบวนการทางสรีรวิทยา การให้ผลผลิตและปริมาณน้ำมันของปาล์มน้ำมัน พบว่า ผลผลิตปาล์มน้ำมันอายุ 9 ปี ที่ให้น้ำมีผลผลิตเฉลี่ย 3.45 ตัน ต่อไร่ ต่อปี ซึ่งสูงกว่าไม่ให้น้ำ 24 เปอร์เซ็นต์ (2.79 ตัน ต่อไร่ ต่อปี), (สุรกิตติ และคณะ, 2543)

จากข้อมูลข้างต้น ชี้ให้เห็นว่า น้ำเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน น้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการผลิตทางการเกษตรและในปัจจุบันการขาดแคลนน้ำเริ่มเป็นปัญหามากขึ้นทุกขณะ

“ดังนั้น การจะทำสวนปาล์มน้ำมันให้ประสบความสำเร็จ เกษตรกรจำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม สามารถให้น้ำได้ในช่วงฤดูแล้ง และต้องมีการให้น้ำเสริมหรือทดแทนให้พอเพียงต่อการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของปาล์มน้ำมัน ดังนั้น ผลการศึกษาการจัดการน้ำที่เหมาะสมต่อปาล์มน้ำมันในช่วงการให้ผลผลิต เป็นตัวช่วยแนะนำให้เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องการนำเอาน้ำไปใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

สำหรับการทดลอง “เทคโนโลยีการจัดการน้ำในปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน” ได้ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2556 – เดือนกันยายน 2558 ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย โดยทดลองในแปลงปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 อายุ 6 ปี วางผังปลูกแบบสามเหลี่ยม ระยะปลูก 9x9x9 เมตร ดูแลรักษาให้ปุ๋ยตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร

คุณกาญจนา ได้สรุปผลการศึกษาเทคโนโลยีการจัดการน้ำในสวนปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานี เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ว่า

หนึ่ง การให้น้ำมีแนวโน้มทำให้ปาล์มน้ำมันมีการเจริญเติบโตได้ดีกว่าการไม่ให้น้ำ

สอง การให้น้ำที่ระดับ 1.2 เท่า ของค่าระเหย (ประมาณ 155-269 ลิตร ต่อต้น ต่อวัน ขึ้นอยู่กับอายุปาล์มน้ำมัน ปริมาณแสงแดด และการระเหยของน้ำ) ทำให้ปาล์มน้ำมันมีช่อดอกตัวเมียมากกว่าการไม่ให้น้ำ และปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตเฉลี่ย 4.34 ตัน ต่อไร่ ต่อปี มากกว่าปาล์มน้ำมันที่ไม่ให้น้ำ 19.89 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น การปลูกปาล์มน้ำมันลูกผสมพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ในพื้นที่ที่มีการขาดน้ำมากกว่า 200 มิลลิเมตร ต่อปี ควรจะมีการให้น้ำตั้งแต่เริ่มปลูกอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากพอ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่คุ้มต่อการลงทุน เช่นเดียวกันกับข้อมูลงานวิจัยเกี่ยวกับการลงทุนการให้น้ำในต่างประเทศของ Corley and Hong (1982) ที่ได้เปรียบเทียบผลผลิตของปาล์มน้ำมันที่มีการให้น้ำและที่ไม่ให้น้ำ พบว่าถ้าผลผลิตทะลายต่างกันมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป เหมาะสมที่จะลงทุนติดตั้งระบบให้น้ำ และจะคุ้มทุนภายในระยะเวลา 8-10 ปี หลังจากปลูกปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมปานกลางที่สภาพภูมิอากาศอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต” คุณกาญจนา กล่าว

จากผลการทดลองในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ลูกผสมสุราษฎร์ธานีในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนที่ควรมองถึงหนึ่งในปัจจัยสำคัญ นั้นคือ การให้น้ำแก่ปาล์มน้ำมันตั้งแต่เริ่มปลูก และควรให้อย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากพอ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่คุ้มต่อการลงทุน

หากสนใจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรหนองคาย (ศวพ. หนองคาย) 191 หมู่ที่ 9 ตำบลรัตนวาปี อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย โทร. (042) 490-936

Leave a comment