“ผ้าไหมศรีสะเกษ” งานศิลป์แห่งดินแดนอีสานใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05073010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

รายงานพิเศษ เปิดเมือง ศรีสะเกษ

จิรวรรณ โรจนพรทิพย์

“ผ้าไหมศรีสะเกษ” งานศิลป์แห่งดินแดนอีสานใต้

งานศิลปะที่ทรงคุณค่า ไม่จำเป็นต้องอยู่บนผืนผ้าใบหรือแผ่นกระดาษ คุณธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ให้เกียรติพาไปเยี่ยมชมผลงานศิลปะบนผืนผ้าไหมและผ้าทอพื้นเมือง มรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของชาวจังหวัดศรีสะเกษมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี

การทอผ้า เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของชาวศรีสะเกษ ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม สร้างความสามัคคีในชุมชน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการผลิตร่วมกัน เป็นอาชีพเสริมที่เพิ่มรายได้ให้กับผู้คนในชุมชนแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อในการแต่งกาย และลวดลายการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของ 4 ชนเผ่า ได้แก่ ส่วย เขมร ลาว เยอ ที่เป็นบรรพบุรุษของชาวศรีสะเกษในปัจจุบัน

แต่ละเผ่าจะทอผ้าใช้เอง โดยมีชื่อเรียกต่างกันไป ลายผ้าที่นิยมกันมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีฐานะดีในสมัยอดีตคือ ผ้าลายลูกแก้ว ในชนเผ่าเขมรเรียกผ้าลายนี้ว่า “ผ้าเก็บ” โดยเรียกจากลักษณะการเก็บลายดอก เผ่าส่วยเรียกว่าผ้าเหยียบ โดยเรียกขั้นตอนการย้อมสีกับลูกมะเกลือ ซึ่งเหยียบผสมโคลน เพื่อทำให้สีที่ได้จากการย้อมมะเกลือติดทนนาน เผ่าลาว เรียกว่า ผ้าลายดอกแก้ว หรือผ้าลายลูกแก้ว เรียกตามลักษณะดอกสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ เรียงกันไป มีจุดดอกตรงกลางสี่เหลี่ยม

“เสื้อแส่ว” เอกลักษณ์

ของชาวส่วย บ้านทุ่งไชย

คุณอรพินท์ ศรีบาง ประธานกลุ่มผลิตเสื้อแส่วบ้านทุ่งไชย หมู่ที่ 3 ตำบลทุ่งไชย อำเภออุทุมพรพิสัย โทร. (093) 417-9055, (061) 038-6297 อธิบายว่า คำว่า “แส่ว” มาจากภาษากุย หรือส่วย แปลว่า การสอยหรือการถักลาย เสื้อแส่วที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวส่วยจะตัดเย็บจากผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอขึ้นมาเป็นลายลูกแก้ว มีมาตั้งแต่อดีตกาลกว่า 200 ปีก่อน ชาวส่วยนิยมสวมใส่เสื้อแส่วในการรำผีฟ้า งานบุญบั้งไฟ งานร้องสรภัญญะ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ชาวบ้านมักอาศัยช่วงว่างเว้นจากฤดูการทำนา และการทำการเกษตร มาร่วมกันทอเสื้อแส่วขาย โดยพวกเขาจะปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ปั่นไหม มัดหมี่ย้อม ปั่นทอผ้า เมื่อทอผ้าได้ขนาดตามที่ต้องการแล้ว จะนำผ้ามาตัดเป็นรูปเสื้อแขนยาวตามขนาดที่ต้องการเย็บด้วยมือ และย้อมมะเกลือจนได้ผ้าที่มีสีดำสนิท นำไปคลุกดินโคลน ล้างออกให้สะอาด นำเสื้อไปนึ่งด้วยไอน้ำและอบเครื่องหอมสมุนไพร เพื่อให้เนื้อผ้าหนาและนิ่ม มีสีดำสนิท เป็นมันวาว และหอมกลิ่นสมุนไพร เสื้อที่ผ่านกระบวนการย้อมแล้วจะนำไปแส่ว เพื่อถักลวดลายตามที่ต้องการด้วยเส้นด้ายหลากสีที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งด้านล่างของเสื้อเดิมเน้นถักด้วยลวดลายไขว้ แต่ปัจจุบันเน้นเป็นลวดลายดอกไม้และลายอื่นตามที่ลูกค้าต้องการ และเย็บด้ายปล่อยไว้เป็นการผูกแทนกระดุม เสื้อแส่วสวมใส่สบาย ใช้นานสีก็ไม่ตกหรือซีดจางลง

เสื้อแส่วย้อมสีมะเกลือมีคุณสมบัติพิเศษคือ ซักแล้วไม่ต้องรีด สวมใส่ได้เลย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบ้านทุ่งไชยได้รับความนิยมจากตลาดในวงกว้าง และจำหน่ายในราคาตัวละ 3,000 บาท และได้รับการคัดสรรให้เป็นผลิตภัณฑ์สุดยอด หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ระดับ 4 ดาว ในปี 2553-2554 ช่วยเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาไทยที่มีคุณภาพมาตรฐานไปสู่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศต่อไป และสร้างรายได้ให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด และขายได้ราคาที่ดี

คุณวสันต์ ชิงชนะ หัวหน้ากลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ เล่าเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบ้านทุ่งไชยถูกคัดเลือกเข้าสู่การพัฒนาขีดความสามารถของผู้ผลิตชุมชนในโครงการ KBO (Knowledge-Based OTOP) โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษได้เข้ามาช่วยพัฒนานวัตกรรมการผลิตให้ทันสมัยมากขึ้น จากเดิมที่ย้อมสีมะเกลือและตากแห้ง 20 ครั้ง ให้เหลือเพียง 2 ครั้ง โดยนำผ้าไหมลายลูกแก้วมาย้อมสีในรูปแบบผ้ามัดย้อม (ผ้าบาติกย้อมมะเกลือ)

ในขั้นตอนการตำมะเกลือ เพิ่มปริมาณผงถ่าน ใช้แปรงทาสีจุ่ม ทาระบายสี สีจะติดทนนานเหมือนเดิม แต่ติดเพียงข้างเดียว นำแป้งข้าวเหนียวผสมน้ำ ระบายลงผ้าไหม เพื่อกันสีไม่ให้เข้าไปในเนื้อผ้า จะกลายเป็นผ้าบาติกจากผ้าไหมลายลูกแก้ว จากนั้นนำผ้าไหมไปแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายโอกาสทางการตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าของชุมชน ใน 2 รูปแบบ คือ

1. พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ผ้าสไบคลุมไหล่ โดยนำผ้าลายลูกแก้วย้อมมะเกลือแบบดั้งเดิม มามัดย้อมเป็นลวดลายต่างๆ ที่สวย แปลกตา และปักแส่ว ให้มีความสวยงาม ขายได้ราคาสูงขึ้น ในราคาผืนละ 2,500 บาท

2. นำผ้าลายลูกแก้วมามัดย้อม และแปรรูปเป็นกระเป๋าถือจากผ้าไหม ที่มีรูปทรงทันสมัยเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ จำหน่ายใบละ 3,000-4,500 บาท

บ้านอะลาง ย้อมสีผ้า

จาก “มูลหนอนไหม”

การทอผ้าแบบโบราณนิยมการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติ โทนสีแดง ได้จากครั่ง รากยอป่า แก่นฝาง ฯลฯ โทนสีเหลือง ได้จากหัวขมิ้นชัน ขมิ้นอ้อย แก่นไม้พุด ดอกกรรณิการ์ ฯลฯ โทนสีน้ำตาล ได้จากเปลือกไม้โกงกาง เปลือกสีเสียด เปลือกพะยอม เปลือกผลทับทิม ฯลฯ โทนสีน้ำเงิน ได้จากใบบวบ ใบหูกวาง เปลือกเพกา ใบตะขบ ฯลฯ โทนสีดำ ได้จากผลมะเกลือ ผลสมอพิเภก ใบกะเม็ง ฯลฯ

กลุ่มทอผ้าไหมบ้านอะลาง หมู่ที่ 9 ตำบลโคกจาน อำเภออุทุมพรพิสัย ได้พัฒนานวัตกรรมการผลิตรูปแบบใหม่ โดยใช้ “มูลหนอนไหม” ที่ให้สีเขียวขี้ม้า มาใช้ย้อมผ้าเป็นครั้งแรก คุณสมบูรณ์ เพ็งพันธ์ ประธานกลุ่มทอผ้าไหมบ้านอะลาง เล่าว่า ทางกลุ่มได้นำมูลหนอนไหมที่ให้สีเขียวขี้ม้า กลิ่นคล้ายชาใบหม่อน มาย้อมสีไหมเส้นยืนและเส้นพุ่ง เมื่อย้อมหลายๆ น้ำ สีเขียวจะจางลง เทคนิคการย้อมสีดังกล่าว กลายเป็นจุดขายที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือบ้านอะลาง ที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมของกลุ่มนี้ ถูกนำมาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบต่างๆ เช่น กระเป๋าถือ ผ้าสไบ ผ้าพันคอ และอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ ทางกลุ่มยังผลิตผ้าทอสอดเส้นใยก้านตาล ที่มีจุดเด่นคือ เมื่อสอดเส้นพุ่งด้วยเส้นใยก้านตาล ด้วยเทคนิคการยกดอก 4 ตะกอ พบว่า ผ้ามีความแข็งแรงมากขึ้น เกิดขอบเกิดสันที่สวยงามแปลกตา ตามขนาดของเส้นใยก้านตาล โดยนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองนั่ง หมอนอิง ผลิตภัณฑ์ผ้ารองจาน กล่องใส่กระดาษทิชชู

คุณสมบูรณ์ บอกว่า ปัจจุบันทางกลุ่มมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เดือนละไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท โดยยอดสั่งซื้อหลักมาจากกรุงเทพมหานคร และการนำสินค้าออกจำหน่ายที่ตลาดนัดชุมชน “ไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้” อำเภออุทุมพรพิสัย งานศิลปาชีพประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพคเมืองทองธานี และงานแสดงสินค้าโอท็อปของจังหวัดศรีสะเกษ

ผู้สนใจผลิตภัณฑ์ผ้าไหมทอมือย้อมสีธรรมชาติจากมูลหนอนไหม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ คุณสมบูรณ์ เพ็งพันธ์ ได้ที่เบอร์โทร. (086) 263-9287 ได้ทุกวัน

“ชามูลหนอนไหม” เครื่องดื่มใหม่ของคนรักสุขภาพ

เมื่อหนอนไหมกินใบหม่อนเป็นอาหารแล้ว จะขับถ่ายมูลหนอนไหมออกมา ปัจจุบัน นอกจากนำมาใช้เป็นสีย้อมผ้าแล้ว ยังพบว่า มีกลุ่มคนรักสุขภาพจำนวนหนึ่งได้นำมูลหนอนไหมไปชงเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ เสพศิลปะแห่งอรรถรสในการดื่มชา เฉกเช่นเดียวกับการบริโภคกาแฟขี้ชะมด

ดร. นพพร กองพันธ์ นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ศรีสะเกษ เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้ กรมหม่อนไหม ยังไม่มีผลงานทางวิชาการออกมายืนยันว่า ชามูลหนอนไหม มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด แต่ชามูลหนอนไหมกลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มคนรักสุขภาพจำนวนหนึ่งไปแล้ว ที่ผ่านมาพบว่า มีการซื้อขายมูลหนอนไหมในกลุ่มผู้สนใจมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

สาเหตุที่ชามูลหนอนไหมได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้เชื่อมั่นในคุณประโยชน์ของใบหม่อน ซึ่งเป็นอาหารของหนอนไหมว่า มีแร่ธาตุและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายสูงกว่าใบชาทั่วไป เพราะใบหม่อนมีสารแคลเซียม โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินเอ วิตามินบี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายครบทุกชนิดแล้ว ในใบหม่อนยังมีสารดีออกซิโนจิริมายซิน (Deoxynojirimycin) ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีสารกาบา (GABA ) ที่มีคุณสมบัติในการลดความดันโลหิต และสารฟายโตสเตอรอล (Phytosterol) ที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอล

ดร. นพพร กล่าวว่า กลุ่มคนที่รักสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน เลือกใช้มูลหนอนไหมวัย 5 นำมาร่อนให้สะอาด ก่อนนำไปอบความร้อน ที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เพื่อให้มูลหนอนไหมแห้ง และเก็บบรรจุในถุง วิธีนี้สามารถเก็บรักษาคุณภาพชามูลหนอนไหมได้นานข้ามปี เมื่อต้องการนำไปใช้งาน ก็จะชงชามูลหนอนไหมเป็นเครื่องดื่มเช่นเดียวกับเทคนิคการชงชาทั่วไป คือ ชงด้วยน้ำร้อน 80-90 องศาเซลเซียส ในระยะเวลาสั้นๆ จะได้น้ำชาที่มีสีเขียวเข้ม กลิ่นคล้ายชาใบหม่อน

อนึ่ง ที่ผ่านมา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้เคยเผยแพร่การใช้ประโยชน์จาก “มูลหนอนไหมอีรี่” โดยนำมาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์เข้มข้น เนื่องจากมูลหนอนไหมอีรี่มีปริมาณธาตุอาหารประเภทไนโตรเจน โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ในอัตราสูงกว่าที่พบในมูลไส้เดือนดิน และมูลค้างคาว

กระบวนการผลิตปุ๋ยอินทรีย์เข้มข้น เริ่มจากชั่งมูลหนอนไหมอีรี่แห้ง 2 กิโลกรัม นำมาใส่ถัง ขนาด 50 ลิตร เทกากน้ำตาลลงไป 1 ลิตร ผสมให้เข้ากัน ละลายสารเร่งซุปเปอร์ พด. 2 ในน้ำ แล้วเทลงในถัง เติมน้ำลงไป 40 ลิตร ผสมให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 14 วัน กรองด้วยผ้าขาวบางเก็บไว้ในขวดเอาไว้ใช้เมื่อต้องการใช้งาน ให้ผสมปุ๋ยน้ำอินทรีย์เข้มข้น ในอัตราส่วน 80 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดให้ทั่วแปลงปลูก ทุกๆ 7 วัน จะช่วยให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ดี เนื่องจากปุ๋ยน้ำอินทรีย์เข้มข้น ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดินและพืช

นอกจากนี้ ยังมีปริมาณไนโตรเจนสูง ช่วยเพิ่มการเติบโตในกลุ่มพืชผักและพืชที่ต้องการเร่งการเติบโตทางใบ

Leave a comment